วันพุธที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

กรมการท่องเที่ยวและตำรวจท่องเที่ยวเตือนประชาชนตรวจสอบใบอนุญาตบริษัททัวร์

 ป้องกันมิจฉาชีพลอยแพ หลอกพาไปทำงานต่างประเทศผิดกฎหมาย

จากกรณีมีการแอบอ้างเป็นบริษัททัวร์ สามารถส่งคนไทยไปทำงานด้านการเกษตรในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งให้รายได้วันละประมาณ 8,500 เยน หรือประมาณ 2,000 บาทต่อวัน แต่ต้องโอนเงินค่านายหน้าให้บริษัทดังกล่าว เพื่อพาเดินทางออกนอกประเทศในรูปแบบกรุ๊ปทัวร์ โดยมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 29,990 – 100,000 บาท เมื่อถึงวันเดินทางบริษัททัวร์ลอยแพ ขอยกเลิกการเดินทางออกไปก่อน และยังไม่คืนเงินที่เรียกเก็บไปแล้วก่อนหน้านี้ ทำให้ผู้เสียหายกว่า 80 คน ออกมาร้องเรียนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซ้ำยังถูกบริษัททัวร์ดังกล่าวแจ้งความกลับในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา จนทำให้ตกเป็นจำเลยในคดี

นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว เปิดเผยว่า ทันทีที่กรมการท่องเที่ยวและกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวทราบเรื่อง ได้มอบหมายเจ้าหน้าที่ตรวจสอบฐานข้อมูลทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พบว่ามีการจดทะเบียนนิติบุคคลกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยบริษัทพารวย ทราเวล จำกัด จดทะเบียนจังหวัดขอนแก่น และบริษัท พิศวริน อินโนเวชั่น จำกัด จดทะเบียนจังหวัดลำปาง แต่ทั้งสองบริษัทไม่เคยได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวจากกรมการท่องเที่ยวแต่อย่างใด จึงไม่สามารถพาคนไทยออกไปท่องเที่ยวต่างประเทศในรูปแบบกรุ๊ปทัวร์ตามที่กล่าวอ้างได้ กรณีนี้สร้างความเข้าใจผิด และเสียหายต่อภาพลักษณ์อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยเป็นอย่างมาก

กรมการท่องเที่ยวและกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวจึงขอฝากความห่วงใยถึงประชาชนที่ต้องการออกไปทำงานในต่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ขอให้ติดต่อผ่านกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงานเท่านั้น เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวง และเน้นย้ำสำหรับประชาชนที่ประสงค์เดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศในรูปแบบทัวร์ สามารถตรวจสอบสถานะใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวของบริษัทนำเที่ยวได้ที่ www.dot.go.th

ไอคอนสยาม ร่วมฉลอง PRIDE MONTH ส่งมอบประสบการณ์สุดพิเศษกับแคมเปญ “ICONSIAM Love Proudly”

สนับสนุนนโยบายความหลากหลายและความเท่าเทียม เริ่มวันนี้ ถึง 30 มิ.ย. 66 


ไอคอนสยาม สนับสนุนนโยบายด้านความหลากหลายและความเท่าเทียม ร่วมฉลองเดือนแห่ง Pride Month ด้วยแคมเปญ  “ICONSIAM Love Proudly” เมื่อช้อปปิ้งสินค้าและบริการต่าง ๆ ครบตามยอดที่กำหนด แลกรับ Siam Gift Card เพื่อดื่มด่ำกับประสบการณ์รับประทานอาหารใน 4 ร้านดังที่บรรยากาศสุดโรแมนติกริมแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้ง Blue by Alain Ducasse, Fallabella Riverfront, HOBS และ James Boulangerie พร้อมสนุกไปกับกิจกรรมหลากหลายความสุข ร่วมสร้างคอนเทนต์ให้สนุกกับพื้นที่แห่งแรงบันดาลใจบนถนนสีรุ้งอันสดใส ณ ทางเข้าไอคอนสยาม บริเวณทางเชื่อมสถานีรถไฟฟ้า บริเวณเจริญนคร ฮอลล์ ชั้น M และชมความงดงามของสายน้ำตกหลากสีรุ้ง (Waterfall) ในโซนอลังการ ชั้น 6  และการแสดง “ICONIC Multimedia Water Features” การแสดงระบำสายน้ำผสมผสานแสง สี เสียง และมัลติมีเดีย ธีมสีรุ้ง ที่ยาวที่สุดที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมกิจกรรมรับของรางวัลมากมาย
ตั้งแต่ วันนี้ ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2566



คุณสุมา วงษ์พันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด  เปิดเผยว่า ไอคอนสยามดำเนินธุรกิจด้วยแนวคิดในการสร้างคุณค่าร่วมกัน โดยมุ่งสร้างและส่งมอบประสบการณ์เหนือความคาดหมายให้กับลูกค้า เรามุ่งมั่นที่จะทำให้พื้นที่ของไอคอนสยามเป็นคอมมูนิตี้ของคนทุกกลุ่ม และสนับสนุนนโยบายด้านความหลากหลายและความเท่าเทียม ที่ให้ความสำคัญต่อผู้คนที่มีความหลากหลายในทุกมิติ อาทิ เพศ เชื้อชาติ สุขภาพ เริ่มตั้งแต่การออกแบบพื้นที่ศูนย์การค้าภายใต้แนวคิด อารยสถาปัตย์ (Universal Design) ซึ่งเป็นการออกแบบพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการให้บริการที่คำนึงถึงผู้คนทั้งมวล ซึ่งไอคอนสยาม ได้รับรางวัลด้านอารยสถาปัตย์ต่อเนื่องเป็นประจำทุกปีตั้งแต่ปี 2018  โดยล่าสุดไอคอนสยามได้รับรางวัล  “แหล่งท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล” ในงาน Thailand Friendly Design Expo 2022 
หรือ มหกรรมอารยสถาปัตย์ และนวัตกรรมสุขภาพเพื่อคนทั้งมวล ครั้งที่ 6 เมื่อต้นปีที่ผ่านมา 


“ไอคอนสยาม ร่วมฉลองเดือนแห่ง Pride Month ของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศทุกรูปแบบ (LGBTQIAN) ด้วยแคมเปญ  “ICONSIAM Love Proudly” ด้วยการเนรมิตพื้นที่ทางเข้าไอคอนสยามและไอซีเอส บริเวณทางเชื่อมสถานีรถไฟฟ้า และบริเวณเจริญนคร ฮอลล์ ชั้น M กลายเป็นพื้นที่สีรุ้งแบบจัดเต็มให้ทุกคนได้สนุกกับการถ่ายภาพและสร้างคอนเทนท์อย่างอิสระ   พร้อมมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้ทุกคู่รักเพลิดเพลินไปกับการแสดง “ICONIC Multimedia Water Features” การแสดงระบำสายน้ำผสมผสานแสง สี เสียง และมัลติมีเดีย ที่ยาวที่สุดที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในธีมสีรุ้ง โดยสามารถชมได้ทุกวัน วันละ 2 รอบ เวลา 19.00 น. และ 19.30 น.  นอกจากนี้ยังตื่นตาตื่นใจไปกับการชมความงดงามของสายน้ำตกหลากสีรุ้ง (Waterfall) ในโซนอลังการ ชั้น 6  ชมได้ทุกวันในเวลา 19.00 – 20.00 น.  ตลอดเดือนมิถุนายนนี้” คุณสุมา กล่าว

คุณสุมา กล่าวต่อไปว่า เพื่อให้ทุกคู่รักได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศสุดพิเศษในเดือนแห่ง Pride Month นี้ ไอคอนสยาม ต้อนรับทุกท่านกับโปรโมชั่นสุดพิเศษ เพิ่มความคุ้มค่าให้ทุกการซื้อสินค้าและการใช้บริการในไอคอนสยาม สยามทาคาชิมายะ และ ไอซีเอส  (ตรงข้ามไอคอนสยาม)  เมื่อช้อปครบ 20,000 บาทขึ้นไป แลกรับ SIAM GIFT CARD มูลค่า 1,000 บาท เพื่อใช้สำหรับการซื้อสินค้าครั้งต่อไปครบ 3,000 บาทขึ้นไป / ใบเสร็จ  โดยสามารถใช้ได้ที่ร้าน Blue by Alain Ducasse, Fallabella Riverfront, HOBS และ James Boulangerie เท่านั้น  ในส่วนของ ICS เมื่อช้อป ครบ 1,200 บาท แลกรับคูปองส่วนลดมูลค่า 100 บาท พร้อมรับคูปองส่วนลดจากร้านค้าที่ร่วมรายการ ตลอดเดือนมิถุนายนนี้  *สอบถามเงื่อนไขเพิ่มเติม ณ จุดขาย


นอกจากนั้น ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมแสดงความรักในแบบพลังบวกที่สร้างสรรค์  กับแคมเปญ “ICONSIAM Love Proudly”  ให้ทุกคู่รักได้ร่วมฉลองและแสดงพลังความรักอย่างภาคภูมิใจในเดือน Pride Month กันได้ ง่ายๆ เพียงถ่ายรูปคู่กันแบบน่ารักที่ไอคอนสยาม พร้อมติด hashtag  #ICONSIAMLOVEPROUDLY #PRIDEMONTH  และโพสต์ลงโซเชี่ยลมีเดีย แลกรับ SIAM GIFT CARD มูลค่า 200 บาท ต่อ 1 คู่   ตั้งแต่วันนี้ - 30 มิถุนายน 2566 ณ ไอคอนสยาม


สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.1338 หรือ www.iconsiam.com และ Facebook : ICONSIAM

วันอังคารที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

บูมหนัก GIT World’s Jewelry Design Award นักออกแบบทั่วโลก ร่วมส่งผลงานเข้าประกวดมากที่สุดในรอบ 5ปี


ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม กับ โครงการประกวดออกแบบเครื่องประดับ ครั้งที่ 17 ภายใต้แนวคิดนี้ “Glitter & Gold – The Brilliant Way of Gold Shine” เครื่องประดับที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสีทองอร่ามกับประกายระยิบระยับของอัญมณีหลากชนิดที่ผสมผสานเข้ากันจนเป็นงานสร้างสรรค์ที่ลงตัว ซึ่งปีนี้นักออกแบบทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ร่วมส่งผลงานเข้าชิงรางวัลมากถึง 770 ผลงาน จาก 30 ประเทศทั่วโลก มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในการจัดการประกวดออกแบบเครื่องประดับระดับโลกของไทย ในรอบ 5 ปี


นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการสถาบัน เปิดเผยว่า จากจำนวนผลงานที่ส่งเข้าร่วมประกวดออกแบบเครื่องประดับกับสถาบันในครั้งนี้ ถือได้ว่าเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเป็นอย่างมาก โดยเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 30 มากกว่าปี 2565 การประกวดออกแบบเครื่องประดับของสถาบันได้รับการยอมรับและมีต่างชาติเข้าร่วมส่งผลงานมากขึ้นทุกๆ ปี และในครั้งนี้เรียกได้ว่า เรามีนักออกแบบจากทั่วทุกมุมโลกให้ความสนใจส่งผลงานเข้าประกวด ทั้ง เอเชีย ตะวันออกกลาง ยุโรป รัสเซีย อเมริกา และ ประเทศแถบอเมริกาใต้ ทำให้เราได้เห็นถึงมุมมองอันหลากหลายของนักออกแบบ รวมถึงทิศทาง เทรนด์ของเครื่องประดับในประเทศต่างๆ ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนจากแบบวาดที่ส่งเข้าร่วมประกวด โดยในปีนี้มีนักออกแบบต่างชาติส่งผลงานเข้าร่วมประกวดจำนวน 497 ชิ้นงาน และจากประเทศไทย 273 ชิ้นงาน รวมผลงานทั้งหมดถึง 770 ผลงาน  โดย จำนวนผลงานที่เข้าร่วมประกวดสูงสุด มาจาก ไทย จีน อิหร่าน ไต้หวัน และอินเดีย ซึ่งถือได้ว่าเป็นตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญของไทยอีกด้วย ซึ่งเทรนด์ต่างๆ เหล่านี้จะเป็นตัวช่วย และ เป็นโอกาสที่ดีที่นักออกแบบไทยจะนำมาปรับใช้เป็นแนวทางในการออกแบบ และสร้างแบรนด์ของตนเอง เพื่อเข้าสู่ตลาดสากลในที่สุด
 


สำหรับรอบการตัดสินแบบวาด สถาบันได้รับเกียรติจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากทั่วโลก อาทิ คุณสิริน ศรีอรทัยกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการขาย บริษัท บิวตี้เจมส์ แฟคตอรี่ จำกัด, ม.ล. ภาวินี สันติศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อโยธยาเทรด (93) จำกัด, คุณธนิษฐ์ ดุรงคพิทยา กรรมการบริหาร บริษัทพรีเมียร์เจมส์เทรดดิ้ง จำกัด, ดร.ธัชวิน สุรเศรษฐ กรรมการผู้จัดการ L.S Jewelry Group (ห้างเพชรหลีเสง) ,

คุณเกศณี ศิริวัฒนสกุล Head of New Product Development, Swarovski Manufacturing (Thailand), Mr. Yutaka Fukasawa, Japan Precious Magazine Director & Chief Editor ประเทศญี่ปุ่น คุณวรรณพร โปษยานนท์ บรรณาธิการบริหาร นิตยสาร ฮาร์เปอร์ส บาซาร์ ประเทศไทย และ Ms. Fie Ling Tjia, Senior Lecturer at Raffles College of Higher Education ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลการศึกษาสถาบันแฟชั่น Marangoni ประเทศสิงคโปร์ โดยคัดเลือกผลงานทั้งหมดจาก 770 ผลงาน เหลือเพียง 31 ผลงาน และเลือกเฟ้นหาแบบวาดที่มีคะแนนสูงสุด 4 ผลงาน เพื่อนำไปผลิตเป็นเครื่องประดับขึ้นโชว์ผลงานพร้อมเหล่านางแบบในรอบชิงชนะเลิศ โดยจะประกาศผลการตัดสินรอบคัดเลือกอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 มิถุนายน 2566 พร้อมเปิดให้ผู้สนใจร่วมลงคะแนนโหวตให้กับผลงานที่ชื่นชอบ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผลงานที่ชื่นชอบ และลุ้นรับรางวัล GIT Popular Design Award  ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2566 จนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2566


สำหรับการตัดสินรอบชิงชนะเลิศ และการประกาศรางวัล มีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 30 สิงหาคม 2566
ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน จากนั้นสถาบันจะนำผลงานการออกครั้งนี้ไปจัดแสดงในงานแสดงสินค้าต่างๆ รวมถึงการจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ GIT Gem and Jewelry Museum เพื่อเป็นการตอกย้ำการเป็นศูนย์กลางการผลิตและการค้าอัญมณีและเครื่องประดับโลกของประเทศไทย (Gems and Jewelry Hub of The World)

ผู้ที่สนใจ สามารถเข้าไปชมผลงานผู้ที่ผ่านรอบแรก และร่วมโหวต ได้ที่ www.facebook.com/gitwjda 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ
(องค์การมหาชน) โทร. 02 634 4999 ต่อ 311-313


อลาวรี่ (Allowrie) เนยและชีสยอดนิยมอันดับ 1 ปรับโฉมบรรจุภัณฑ์

เพิ่มธงชาติออสเตรเลีย ตอกย้ำมาตรฐานคุณภาพแบบต้นตำรับ ล่าสุดคว้า 3 รางวัล Superior Taste Award จากสถาบัน International Taste Institute การันตีคุณภาพและรสชาติ โดยผู้เชี่ยวชาญระดับมืออาชีพกว่า 200 คนจากทั่วโลก


อลาวรี่ (Allowrie) 
แบรนด์ผลิตภัณฑ์เนยและชีสยอดขายอันดับ 1 ยาวนานถึง 7 ปีซ้อน ที่มีต้นกำเนิดแบรนด์จากประเทศออสเตรเลียตั้งแต่ปี ค.ศ.1869 ตอกย้ำความเป็นเจ้าตลาดเนยและชีสระดับพรีเมียมในไทย เปิดตัวดีไซน์บรรจุภัณฑ์ใหม่สู่ตลาด ย้ำความเป็นโปรดักส์ออสเตรเลีย สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าแห่งที่มาของแบรนด์และวัตถุดิบเกรดพรีเมียมจากแดนจิ้งโจ้สู่ครัวไทย พร้อมเปิดตัว TVC ใหม่เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกมื้อพิเศษได้ด้วยอลาวรี่ ผ่าน 2 นักแสดงภาพยนตร์โฆษณาอลาวรี่ “มายด์-วรัทยา และอติล่า” 

นายดำรงชัย วิภาวัฒนกุล รองกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ “KCG” ผู้จัดจำหน่าย “อลาวรี่ (Allowrie)” แบรนด์ผลิตภัณฑ์เนยและชีสระดับพรีเมียม เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการสื่อสารให้กลุ่มผู้บริโภคได้ทราบถึงคุณภาพและที่มาของแหล่งวัตถุดิบที่ใช้ผลิตเนยและชีสแบรนด์ อลาวรี่ (Allowrie)  เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จึงได้ทำการปรับดีไซน์บรรจุภัณฑ์ใหม่ โดยได้เพิ่มธงชาติออสเตรเลีย พร้อมข้อความ “Original Australian Brand” ที่มุมบรรจุภัณฑ์ทุกชนิด ซึ่งเชื่อว่ากลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยสร้างการรับรู้และขยายฐานลูกค้าในกลุ่ม professional และ premium mass ให้เพิ่มขึ้น และที่สำคัญ อลาวรี่ ยังได้รับการสนับสนุนอย่างดีเยี่ยมจากสำนักงานการพาณิชย์และการลงทุนออสเตรเลีย (ออสเทรด) ที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดความสำเร็จในภาพรวมธุรกิจ และสร้างการยอมรับให้แก่กลุ่มสินค้าที่มีถิ่นกำเนิดจากออสเตรเลียในทุกประเทศทั่วโลก

“เมื่อวัฒนธรรมการกินจากฝั่งตะวันตกได้รับความนิยมมากขี้น อลาวรี่ ได้ออกมาตอกย้ำความเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีความพร้อมในการผลิต รวมถึงการมีแหล่งวตัถุดิบคุณภาพ ทำให้สามารถขยายตลาดสินค้ากลุ่มเนยและเพิ่มสินค้า กลุ่มชีส เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดได้ และจากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมายาวนานกว่า 50 ปี พร้อมทั้งมียอดขายมากกว่า 10 ล้านชิ้นต่อปีและมีสินค้าหลากหลายมากกว่า 100 SKUs ส่งผลให้ อลาวรี่ มีส่วนแบ่งทางการตลาดในเชิงมูลค่าและปริมาณสูงเป็นอันดับ 1 ของไทยอย่างต่อเนื่องตลอดมา” นายดำรงชัยกล่าวเสริม


นอกจากจะความสำเร็จในประเทศไทยแล้ว ล่าสุด อลาวรี่ ยังโชว์ศักยภาพคว้ารางวัล Superior Taste Award  ของสถาบัน  International Taste Institute มาครองได้ถึง 3 รางวัลจาก 3 ผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย อลาวรี่ เนยแท้ (Allowrie Pure Creamery Butter),  อลาวรี่ MTC Butter ทางเลือกใหม่สำหรับคนรักสุขภาพ มีส่วนผสมสารสกัด MCT Oil จากน้ำมันมะพร้าวธรรมชาติ และ อลาวรี่ เชดด้าชีสสไลด์ (Allowrie Cheddar Cheese Product Slices) “Superior Taste Award เป็นเครื่องหมายการันตีรสชาติอาหารที่ผ่านการทดสอบและประเมินจนได้รับการยอมรับจากเชฟชั้นนำจากกว่า 20 ประเทศทั่วโลกที่มากด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ผ่านการแข่งขันทดสอบความสามารถจากเวทีชั้นนำ และบางส่วนได้รับรางวัลระดับโลก เช่น รางวัลมิชลินไกด์ (Michelin Guide) นั่นหมายความว่า สินค้าที่ได้รางวัลการันตีไม่เพียงแค่มีรสชาติอร่อยแต่ยังต้องมีรสชาติกลมกล่อมและมีคุณภาพ ในทุกๆ ปีมีสินค้าเข้ารับการประเมินหลายพันรายการ แต่มีเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่ได้เครื่องหมายรับรอง และความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่ อลาวรี่ ได้รับในครั้งนี้ก็ถือเป็นเครื่องยืนยันมาตรฐานคุณภาพผลิตภัณฑ์สมกับการเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์เนยและชีสที่ครองความนิยมเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย”   -นายดำรงชัย  กล่าวสรุป

รับโล่ประกาศเกียรติคุณภาคเอกชนผู้สนับสนุนป่าชุมชน


นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดงานวันป่าชุมชนแห่งชาติและ มอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่ภาคีเครือข่ายภาคเอกชน ผู้สนับสนุนป่าชุมชน ให้แก่นางสาวปิยพร พรรณเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยกิจกรรมสนับสนุนป่าชุมชนนี้ ทางบริษัททีซีเอ็มซี ได้ร่วมสนับสนุนการปลูกป่าชุมชน จำนวนรวมทั้งสิ้น 15 ไร่ เป็นเงินสนับสนุนกิจกรรมจำนวน 660,000 บาท ซึ่งกิจกรรมนี้จะมีการนำทีมผู้บริหาร และพนักงาน ทีซีเอ็มซี ไปร่วมปลูกป่าชุมชนที่บ้านโคกพลวง หมู่ที่ 11 ตำบลหินโคน อำเภอจักราช จังหวัดนครราชสีมา ในวันที่ 26 มิถุนายน 2566 

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้แก่พนักงาน และแสดงเจตจำนงในการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างโลกที่น่าอยู่สำหรับคนรุ่นต่อ ๆ ไป ตามนโยบายของบริษัทที่ส่งเสริมการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และยังได้รับสิทธิประโยชน์ด้านคาร์บอนเครดิตอีกด้วย โดยบริษัทจะปลูกต้นไม้ทั้งหมด 3,000 ต้น และสามารถวัดค่าเฉลี่ยในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศได้ทั้งหมด เท่ากับ 27,000 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ทั้งนี้ การรับโล่ประกาศเกียรติคุณแก่ภาคีเครือข่ายภาคเอกชน ผู้สนับสนุนป่าชุมชน ทีซีเอ็มซี เป็นหนึ่งในอีก 9 องค์กรที่ได้รับรางวัลภายในภาคีเครือข่ายภาคเอกชนผู้สนับสนุนป่าชุมชน 


จัดขึ้นที่ ห้องประชุมไดมอนด์ฮอลล์ โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ท

สนอ. เลี้ยงอาหารเด็กกำพร้า ที่สถานสงเคราะห์เด็ก พัทยา


สนอ. เลี้ยงอาหารเด็กกำพร้า ที่สถานสงเคราะห์เด็ก พัทยา สมาคมนักเรียนเก่าอังกฤษในพระบรมราชูปถัมภ์ (สนอ.) นำโดย ดร.โสภาพิมพ์ เศรษฐบุตร สิมะกุลธร นายกสมาคม (สนอ.)  พร้อมด้วยสมาชิกและคณะกรรมการสมาคมฯ จัดทริปเดินทางไปเลี้ยงอาหารเด็กกำพร้า ที่สถานสงเคราะห์เด็ก พัทยา 

“ร้านยากรุงเทพ” ร่วมบริจาคยาสามัญประจำบ้าน 4 ลัง และ มูลนิธิเฉลิมขัวญ ชุมสาย ณ อยุธยา ร่วมบริจาคอุปกรณ์การเขียน 200 ชุด 

โดยมี ดร.จินดารัตน์-รัสรินทร์ (โอบอุ้ม) ชุมสาย ณอยุธยา, ศรีสองรัก ชัยสิทธิ์ เลขาธิการ สมาคม, เอิร์ธ สายสว่าง แจกอาหารให้กับเด็กๆ ร่วมร้อย กว่าชีวิต เป็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่น 


สถานที่ : มูลนิธิสงเคราะห์เด็ก พัทยา (หมู่ที่ 6 -384 ถนนสุขุมวิท) บางละมุง ชลบุรี
โทร. 038 416 426

ททท. เปิดตัวงาน “AMAZING ULTIMATE FESTIVAL” ปักหมุด 4โลเคชั่นริมทะเล

ส่งมอบประสบการณ์ที่สุดแห่งความสนุกกับกิจกรรมสร้างสรรค์หลากหลายสไตล์

วันนี้ (30 พฤษภาคม 2566) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เดินหน้าตอกย้ำความสนุกสนานของ“ปีท่องเที่ยวไทย 2566” เปิดตัวกิจกรรม“AMAZING ULTIMATE FESTIVAL”เตรียมส่งมอบที่สุดแห่งประสบการณ์ท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ด้วยกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ ทั้งศิลปะ ดนตรี กีฬา วัฒนธรรม นันทนาการ ตามอัตลักษณ์ใน 4 พื้นที่ริมทะเล ได้แก่ พังงา ภูเก็ต สงขลา และประจวบคีรีขันธ์ เพื่อกระตุ้นและสร้างความเชื่อมั่นในการเดินทางท่องเที่ยว หวังปั๊มรายได้ 140 ล้านบาท ตลอดระยะเวลาจัดงาน         


นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว ททท.

นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว ททท. กล่าวว่า  การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เล็งเห็นโอกาสในการใช้กลยุทธ์จัดกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์มาเป็นกิจกรรมดึงดูดนักท่องเที่ยวและส่งมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวมิติใหม่ที่เปี่ยมด้วยคุณค่าและความหมาย พร้อมตอกย้ำความสนุกสนานของ “ปีท่องเที่ยวไทย 2566” ภายใต้แคมเปญ “365 วัน มหัศจรรย์เมืองไทย เที่ยวได้ทุกวัน” จึงกำหนดจัดกิจกรรม “AMAZING ULTIMATE FESTIVAL” นำศิลปะและดนตรีเป็นสื่อกลางผสมผสานส่งมอบความสุขถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมสร้างสรรค์ที่ร่วมพัฒนาการท่องเที่ยวแนวใหม่ของประเทศไทย โดย ททท. มุ่งนำเสนอความหลากหลายของกิจกรรมท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่อยู่ในกระแสความสนใจของนักท่องเที่ยวอย่างสร้างสรรค์สอดรับกับการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ ซึ่งแบ่งตามอัตลักษณ์ของพื้นที่ ได้แก่ จังหวัดพังงาและจังหวัดภูเก็ต มีกิจกรรมหลักเป็น Sport Tourism และจังหวัดสงขลาและประจวบคีรีขันธ์มีกิจกรรมหลักเป็น Recreation Festival งานนันทนาการต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาตินำไปสู่ การใช้จ่ายในระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวอันจะสร้างรายได้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจฐานรากและสะท้อนศักยภาพพื้นที่และสร้างความเชื่อมั่นในการเดินทางท่องภายในประเทศอย่างปลอดภัย ซึ่งกำหนดจัดขึ้นระหว่างเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2566 ได้แก่ 

1. จังหวัดพังงา นำเสนอกิจกรรมภายใต้ชื่อ “KHAOLAK SURF FESTIVAL 2023” จัดขึ้นในวันที่  16-18 มิถุนายน 2566    ณ MEMORIES BEACH เขาหลัก ชวนผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมกระดานโต้คลื่นออกมาสัมผัสคลื่นลมและแสงแดด พร้อมแข่งขันเซิร์ฟชิงเงินรางวัลรวมกว่า 220,000 บาท ก่อนจะไปสนุกเต็มสตรีมกับคอนเสิร์ตจากศิลปินมากมาย เช่น KHAN THAITANIUM / TWOPEE SOUTHSIDE / VALENTINA PLOY / LAZYLOXY & SAMBLACK / TONTRAKUL / MAIYARAP

2.  จังหวัดภูเก็ต นำเสนอกิจกรรมภายใต้ชื่อ “PHUKET SURF CONTEST 2023” จัดขึ้นในวันที่ 23-25 มิถุนายน 2566 ณ  หาดกะตะ ชวนแข่งขันเซิร์ฟแบบเท่ๆ ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 220,000 บาท ส่งต่อ FEEL GOOD ไปกับคอนเสิร์ตจาก ATOM / TWOPEE SOUTHSIDE/ ZOM MARIE/ WHAL & DOLPH / TONTRAKUL / PIXXIE พร้อมศิลปินและดีเจอีกมากมาย

3. จังหวัดสงขลา นำเสนอกิจกรรมภายใต้ชื่อ “SONGKHLA BEACH LIFE 2023” จัดขึ้นในวันที่ 7-9 กรกฎาคม 2566 ณ หาดชลาทัศน์ จังหวัดสงขลา  เอาใจนักท่องเที่ยวสายอินดี้มาสนุกกับกิจกรรมบนชายหาด

ใต้ป่าสน ชวนมาเรียนรู้การพายซับบอร์ดเวิร์คช้อปสนุกๆ กับ SUP พร้อมชมคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดัง ได้แก่ SAFEPLANET / MUSKETEERS / HYBS / DEPT / LOSERPOP / YOURMOOD

4.   จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นำเสนอกิจกรรมภายใต้ชื่อ “HUAHIN BEACH LIFE 2023” จัดขึ้นในวันที่ 21-23 กรกฎาคม 2566 ณ ริมหาดหัวดอน เขาตะเกียบ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ส่งท้ายความสุขที่หัวหิน เอาใจสาย HIPSTER ชวนมาสนุกไปกับแอคทิวิตี้บนชายหาดจาก SUP CLINIC พร้อมเพลิดเพลินไปกับคอนเสิร์ตริมชายหาดจาก THE TOYS / VIOLETTE WAUTIER / ZOM MARIE /  MUSKETEERS / WHAL & DOLPH / LOSERPOP รวมถึงศิลปินและดีเจอีกมากมาย



นอกจากนี้ ภายในงานยังเอาใจสายกิน สายช้อป จัด FOOD ZONE รวบรวมร้านอาหารถิ่นชื่อดังมาเสิร์ฟความอร่อยกันแบบจุใจ ทั้งรวบรวม BEACH ITEMS สุดเก๋มาให้สายช้อปได้เลือกซื้อใน SHOPPING ZONE ไม่เพียงเท่านั้น ททท. ยังได้จัดกิจกรรม CSR – AMAZING THAILAND BEACH CLEAN UP ในทุกพื้นที่ เพื่อรณรงค์ ให้นักท่องเที่ยวร่วมกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมในแหล่งท่องเที่ยวตามแนวคิดการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบด้วย 

ททท. คาดว่าการจัดงานดังกล่าวจะกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ มีจำนวนผู้เข้าร่วมงาน ทั้ง 4 พื้นที่ไม่น้อยกว่า 50,000 คน และสร้างรายได้หมุนเวียนประมาณ 140 ล้านบาท




ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
FACEBOOK EVENT PAGE: AMAZING ULTIMATE FESTIVAL และ TAT CONTACT CENTER โทร. 1672 TRAVEL BUDDY

วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

กระทรวงพาณิชย์ ดึงองค์กรเอกชนชั้นนำเสริมทัพ ปั้น Gen Z สู่การเป็นซีอีโอ

โครงการ From Gen Z to be CEO ประจำปี 2566

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ โดยสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (สถาบัน NEA) ดำเนินโครงการ From Gen Z to be CEO ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 เดินหน้าขยายโอกาสคนรุ่นใหม่ Gen Z ให้พร้อมสู่การเป็น CEO โดยดึงองค์กรภาคเอกชนร่วมโครงการกว่า 16 องค์กรชั้นนำ เพื่อมอบสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการที่สอบได้คะแนนสูงสุด 100 คนแรกของประเทศ (TOP100) ให้ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมฝึกงานกับองค์กรระดับประเทศ การขยายความร่วมมือกับ องค์กรภาคเอกชนจึงเป็นการรองรับจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการที่เพิ่มมากขึ้น และสร้างโอกาสในการฝึกงานกับบริษัทในหลากหลายอุตสาหกรรม 

ในปี 2566 กรมได้เพิ่มความร่วมมือกับองค์กรภาคเอกชนจากเดิม 7 องค์กร เป็น 16 องค์กร แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือพันธมิตรสำหรับสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตร จำนวน 7 องค์กร รองรับนักเรียนนักศึกษาในระดับอาชีวศึกษา และพันธมิตรสำหรับมหาวิทยาลัยทั่วไป จำนวน 9 องค์กร รองรับนักศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย ได้แก่ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย), บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด, ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK), บริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด (P&G), และ 3 พันธมิตรน้องใหม่ได้แก่ บริษัท ดีเอชแอล ซัพพลายเชน (ประเทศไทย) จำกัด (DHL), บริษัท เอสวีโอเอ จำกัด (มหาชน) (SVPi) และ บริษัท บิซิเนส ออนไลน์ จำกัด (มหาชน) (BOL) ที่เข้าร่วมในปีนี้

นายไตรสรณ์ วรญาณโกศล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสวีโอเอ จำกัด (มหาชน) (SVPi) กล่าวว่า “ปัจจุบัน SPVi มีพนักงานภายในองค์กรที่ผสมผสานระหว่างผู้มีประสบการณ์ที่เชี่ยวชาญและมุมมองของคนทำงานรุ่นใหม่ ซึ่งภารกิจสำคัญของ SPVi คือการพัฒนาคนภายในองค์กรให้สามารถสร้างสรรค์ผลงานออกมาตามความถนัด พร้อมเปิดเวทีให้แสดงความคิดเห็นและแลกเปลี่ยนความรู้ แชร์ไอเดีย ร่วมกันระหว่างคนในหลาย Gen เพื่อสร้างแรงจูงใจให้บุคลากรตื่นตัวในการพัฒนา ปรับปรุงกระบวนการทำงานร่วมกัน เพื่อช่วยส่งเสริมและเกิดการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ และนำมาปรับใช้ในองค์กรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ฉะนั้นแล้วเมื่อนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการได้มาฝึกงานกับ SPVi จะได้เพิ่มโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพจากการลงมือทำจริง แลกเปลี่ยนเทคนิคความรู้ในสายงานจากบุคลากรที่เชี่ยวชาญ พร้อมโอกาสในการพิจารณาเข้าทำงานกับ SPVi หลังสิ้นสุดโครงการ ซึ่งเชื่อว่านักศึกษาที่ผ่านโครงการ From Gen Z to be CEO มาแล้วจะเป็นคนที่มีคุณภาพและเป็นที่ต้องการของหลายๆ องค์กรรวมถึง SPVi อีกด้วย”

นางสาวมีนา อิงค์ธเนศ Chief Operating Officer บริษัท บิซิเนส ออนไลน์ จำกัด (มหาชน) (BOL) กล่าวว่า “เราเชื่อในเด็กรุ่นใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Z ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาโลกให้ดีขึ้น BOL เรารู้สึกยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการเพื่อร่วมมอบโอกาสให้กับน้องๆ Gen Z ที่มีความฝัน ด้วยวิสัยทัศน์ขององค์กรเราคือการให้โอกาสและสนับสนุนคนรุ่นใหม่  ซึ่งหากน้อง ๆ ได้เข้ามาฝึกงานกับ BOL น้อง ๆ จะได้เรียนรู้จากประสบการณ์การทำงานจริง รวมถึงข้อเสนอแนะจากผู้บริหารระดับสูง และมีโอกาสได้เป็นส่วนหนึ่งในการสานต่อวิสัยทัศน์ขององค์กร ฉะนั้นโครงการนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินตามความฝัน ในฐานะผู้บริหารจึงอยากแนะนำน้องๆ Gen Z ว่า “จงกล้าเดิน อย่ากลัวล้ม” เพราะทุกก้าวที่เดินคือโอกาสในการเรียนรู้ และความเพียรอย่างสม่ำเสมอจะทำให้น้องเก่งและประสบความสำเร็จตามที่ฝันไว้ หวังว่าพวกเรา BOL จะได้เป็นเรื่องราวหนึ่งในความสำเร็จของน้องๆ นะคะ”

และนี่เป็นเพียงเสียงส่วนหนึ่งจากพันธมิตรที่พร้อมมอบโอกาสให้กับน้องๆ Gen Z “ที่สุดของโอกาส ที่สุดแห่งการเป็น CEO อาจเป็นคุณ” กระทรวงพาณิชย์พร้อมเดินหน้าปั้น Gen Z รุ่นที่ 4 สู่การเป็น CEO ตัวจริง ภายใต้โครงการ “From Gen Z to be CEO” เพิ่มโอกาสร่วมฝึกงานกับองค์กรระดับประเทศ ผู้ที่สนใจเข้าร่วมอบรมสามารถสมัครได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย โดยลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันนี้ - มิถุนายน 2566 ได้ที่ https://fromgenztobeceo.com  หรือติดตามกิจกรรมได้ที่ Facebook : https://www.facebook.com/nea.ditp/

ททท. จับมือพันธมิตรแพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์

ร่วมทำส่วนลดพิเศษให้ผู้ประกอบการ ที่ได้รับตราสัญลักษณ์ “เจ้าบ้านที่ดี”
หวังกระตุ้นการเดินทางหลังเปิดประเทศเต็มรูปแบบ

วันที่ 29 พฤษภาคม 2566 ณ ลานแฟชั่น ฮอลล์ สยามพารากอน นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) แถลงเปิดตัวโครงการ “เจ้าบ้านที่ดี New Chapters”ครั้งที่ 2 เนื่องจากผลตอบรับการเข้าร่วมโครงการเจ้าบ้านที่ดี New Chapters ครั้งที่ 1
ดีเกินคาด เชื่อผู้ประกอบการไทยพร้อมรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก

นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่าททท. ได้จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ “เจ้าบ้านที่ดี New Chapter” ไปเมื่อปลายเดือน พฤศจิกายน 2565 ซึ่งผลตอบรับดีเกินคาดมีผู้สมัครเข้าร่วมอบรมเกินกว่าโควตาที่กำหนด ททท. จึงได้เปิดหลักสูตรอบรมครั้งที่ 2 เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ประกอบการ รวมถึงขยายผลให้ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถเข้ามาลงทะเบียนเรียนได้ผ่านระบบ E-learning โดยในครั้งนี้ ททท. ได้จัดทำตราสัญลักษณ์เจ้าบ้านที่ดี New Chapters มอบให้แก่ผู้ประกอบการที่ผ่านการอบรมหลักสูตรเจ้าบ้านที่ดีทั้ง Phase I และ Phase II ทุกราย ซึ่งผู้ที่ได้รับตราสัญลักษณ์จะได้รับสิทธิ์เข้าร่วมโปรแกรมส่งเสริมการตลาดและประชาสัมพันธ์ โดย ททท. ได้จับมือกับแพลตฟอร์มพันธมิตร อาทิ Traveloka, Wongnai, Gowabi, Local Alike และ PTT Blue card ที่ร่วมมือกันมามอบส่วนลด สิทธิประโยชน์ให้กับนักท่องเที่ยวและสมาชิกผู้ที่ถือบัตร ที่สนใจซื้อสินค้าและบริการจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ เรียกได้ว่าครั้งนี้เป็น Episode ของการติดอาวุธความรู้และอาวุธทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการ และเป็นการสร้างความเข้มแข็ง เพิ่มความยั่งยืนด้าน Supply Side ให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เพื่อเตรียมรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศต่อไป”


ภายในงานระหว่างวันที่ 29-30 พฤษภาคม 2566 ณ ลานแฟชั่น ฮอลล์ สยามพารากอน ยังมีกิจกรรมออกบูธนำเสนอดีลส่วนลดจากผู้ประกอบการที่ผ่านการอบรมหลักสูตรเจ้าบ้านที่ดี ทั้งโรงแรม สปา ความงาม อาทิ โรงแรมดุสิตธานี ลากูน่า ภูเก็ต, โรงแรมอมารี หัวหิน มอบส่วนลดสูงสุด 60% และส่วนลดจากกลุ่มเวลเนส สปา ความงาม อาทิ SLL Sleep Lab Clinic,  APEX Wellness มอบส่วนลด 50% ตรวจสุขภาพ ทรีตเมนต์, บริการรถเช่า Chic Car Rent มอบส่วนลดดีลพิเศษ และอื่น ๆ อีกกว่า 400 แห่ง ผู้ที่สนใจดีลพิเศษ สามารถเข้ามาศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.เจ้าบ้านที่ดี.com/deals




โครงการเจ้าบ้านที่ดี New Chapters ครั้งที่ 2 นี้ ททท. ได้จับมือร่วมกับแพลตฟอร์มพันธมิตร อาทิ Traveloka, Wongnai, Gowabi, Local Alike เพื่อส่งมอบดีลพิเศษ on top อาทิ รับคูปองส่วนลดเพิ่ม 100 บาท หรือสมาชิกบัตร PTT Blue Card ที่จะได้รับส่วนลด On Top เพิ่มพิเศษทุกการซื้อสินค้าและบริการ จากผู้ประกอบการในโครงการเจ้าบ้านที่ดี New Chapters ตั้งแต่วันนี้-31 กรกฎาคม 2566 


นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ กล่าวทิ้งท้ายเชิญชวนนักท่องเที่ยวสนับสนุนผู้ประกอบการที่เข้าร่วม
โครงการฯรับรองจะได้รับประสบการณ์ 3 ดี ได้แก่ คุ้มค่าดี บริการดี และ ประสบการณ์ดี ๆ กลับ
ไปอย่างแน่นอน นอกจากนี้ทางโครงการฯ ยังมีกิจกรรมให้ร่วมสนุกแจกของรางวัลมากมาย ผ่านทาง เพจ facebook : เจ้าบ้านที่ดี New Chapters อีกด้วย

วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

แรมรุ้ง วรวัธ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ


ปี 
2565 ประเทศไทย มีประชากรกว่า 66 ล้านคน มีผู้สูงอายุประมาณ 12.5 ล้านคน  คิดเป็นร้อยละ 19.03 ผู้สูงอายุเหล่านี้ กรมกิจการผู้สูงอายุ ได้ดำเนินการดูแลคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้สูงอายุ ตลอดจนส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ เพื่อให้ผู้สูงอายุเป็นพฤฒพลังของประเทศ


นางสาว แรมรุ้ง วรวัธ อธิบ ปี 2565 ประเทศไทย มีประชากรกว่า 66 ล้านคน มีผู้สูงอายุประมาณ 12.5 ล้านคน  คิดเป็นร้อยละ 19.03 ผู้สูงอายุเหล่านี้ กรมกิจการผู้สูงอายุ ได้ดำเนินการดูแลคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้สูงอายุ ตลอดจนส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ เพื่อให้ผู้สูงอายุเป็นพฤฒพลังของประเทศ ดีกรมกิจการผู้สูงอายุ เผยว่า ปี 2566 เป็นการเข้าโค้งที่สามของแผนปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุ ซึ่งตรงนี้มีมิติในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุอยู่ ด้าน ทั้งเรื่องของเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพและการปรับสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ก็ได้กำหนดนโยบายขึ้นมา เราใช้คำว่า  Strong คือความแข็งแรง ซึ่งการที่จะดูแลผู้สูงอายุให้มีความเข้มแข็งได้ องค์กรของเราก็ต้องแข็งแรงและต้องเตรียมความพร้อมให้ดี


S - Standard 
คือ มาตรฐาน ในการทำงานไม่ว่าจะเป็นการดูแลผู้สงอายุ ต้องมีคนที่มีมาตรฐาน มีหลักสูตรที่มีมาตรฐาน มีหน่วยงานดูแลที่มีมาตรฐานรวมถึงเรื่องการดูแลให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี

มิติที่สองคือเรื่องของทีมเวิร์ค เรื่องขององค์กร เจ้าหน้าที่ของกรมฯ ทุกคนต้องผ่านการอบรมหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุอย่างน้อย 18 ชั่วโมง ซึ่งวันนี้ทุกคนผ่านการพัฒนาศักยภาพร้อยเปอร์เซ็นต์  ผ่านการอบรมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เรื่อง สิทธิมนุษยชน ที่เราต้องทำให้ผู้สูงอายุเข้าถึงสิทธิในสวัสดิการต่างๆ ทุกเรื่อง อีกอันคือเรื่องของโอกาสในการที่จะให้ผู้สูงอายุเข้ามามีส่วนร่วมในการทำงานเพื่อสังคม การมีโรงเรียนผู้สูงอายุเพื่อยกระดับให้สูงอายุสามารถทำกิจกรรมด้านสังคม

อีกมิติ คือการทำงานเชิงเครือข่าย ถ้าพูดถึงแผนพัฒนาปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุ การทำงานด้านผู้สูงอายุต้องมีการทำงานร่วมกันในหลายภาคีเครือข่าย รวมถึงยกระดับแผนบูรณาการสังคมรองรับผู้สูงอายุ สุดท้ายก็คือ ทั้งผู้สูงอายุ คนก่อนจะเป็นผู้สูงอายุ รวมถึงหน่วยงานที่ดูแลผู้สูงอายุ ต้องแข็งแรงไปด้วยกัน 

ร่วมภาคีเครือข่ายบูรณาการ
ในส่วนของระเบียบวาระแห่งชาติ ครม.มีมติเห็นชอบตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งตรงนั้นได้พูดถึงมิติต่างๆ ประกอบด้วย มิติเรื่องของสุขภาพ ซึ่งสุขภาพต้องสมบูรณ์พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ดำเนินการร่วมกันกระทรวงสาธารณสุข ด้านเศรษฐกิจดำเนินงานร่วมกับกระทรวงแรงงาน ด้านสังคมร่วมบูรณาการด้านสิ่งแวดล้อมให้กับผู้สูงวัย โดยกระทรวง อว. พัฒนาด้านนวัตกรรม

อธิบดี ฯ กล่าวต่อว่า “.... เรื่องเศรษฐกิจ ส่งเสริมการมีงานทำ เช่นทำงานกับกระทรวงแรงงานเพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีงานทำ ขณะนี้มีการเปิดระเบียบให้ผู้สูงอายุได้เข้าไปทำงานในสถานประกอบการ โดยมีอัตราว่าจ้างที่บังคับว่าถ้ามีผู้สูงอายุต้องมีรายได้ประมาณเท่าไหร่ พูดถึงเรื่องวันหยุดของผู้สูงอายุด้วยและการสนับสนุนผ่านเงินกองทุนผู้สูงอายุ สามารถกู้เงินได้ 30,000 บาท และสำหรับกลุ่มแล้วจะสามารถกู้ได้ ไม่เกิน 100,000 บาท


การทำงานด้านสังคม เราสนับสนุนให้มีพื้นที่ในชุมชนให้ผู้สูงอายุมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม เช่นโรงเรียนผู้สูงอายุ มีกิจกรรมที่หลากหลายเพื่อให้ได้ออกจากบ้านได้มาเจอเพื่อนและทำกิจกรรมร่วมกัน

“... การปรับปรุงสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม  จากสถิติที่ผ่านมา มีการเก็บข้อมูลพบว่าผู้สูงอายุในหนึ่งคนจะมีโอกาสลื่นล้ม 6-7 ครั้งต่อหนึ่งปี ในบ้านพักของตัวเอง  เราจะมีงบในการเปลี่ยนปรับสถานที่ เช่น โถส้วม ทางลาด เปลี่ยนพื้นห้องน้ำ รวมถึงไปสนับสนุนสถานที่ท่องเที่ยว หรือในวัด หรือมัสยิด สถานที่ต่างๆ เพื่อให้พื้นที่นั้นเหมาะสมกับผู้สูงอายุและด้านนวัตกรรมสำหรับผู้สูงอายุ จริง ๆ แล้วถ้าท่านมีผู้ช่วยที่ดีที่ทันสมัย ท่านจะสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นเราจึงร่วมกับกระทรวง อว. ตรงนี้พัฒนาอุปกรณ์หลายอย่าง”  


อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ เน้นย้ำด้านสุขภาพ 

เรื่องสุขภาพ ต้องสมบูรณ์พร้อมทั้งเรื่องของร่างกายและจิตใจ คัดกรองเรื่องสุขภาพไม่ให้สุขภาพถอยลง
ไปก่อนวัยอันสมควร ซึ่งทำงานร่วมกันกับกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมองว่าเราเป็นผู้สูงอายุตามพรบ. 
60 ปี แล้วยังไม่มีความพร้อมเรื่องเศรษฐกิจเลยจะไม่ทัน ต้องเตรียมพร้อมก่อนหน้า ดังนั้นในการบูรณาการเรื่องสังคมผู้สูงวัย จะมีการทำงานกับกลุ่มเยาวชน ย้อนเล็กไปกว่านั้นคือ15 ปี ในการทำงานร่วมกับกอช. เพื่อให้ครอบครัวได้ออมให้กับเด็กและออมไปจนถึงอายุ 59 ปี เพื่อให้คนเหล่านั้นได้มีหลักประกันด้านหลักทรัพย์และอีกมิติหนึ่งคือการทำงานเครือข่าย เรื่องปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุ จะทำงานร่วมกันหลายภาคีเครือข่าย รวมถึงการยกระดับแผนบูรณาการร่วมกัน แผนมีตั้งแต่การเตรียมความพร้อม การดูแลผู้สูงอายุที่มีพลังและผู้สูงอายุที่เปราะบาง สุดท้าย ทั้งผู้สูงอายุและก่อนจะเป็นผู้สูงอายุ รวมถึงหน่วยงานที่ดูแลผู้สูงอายุเราต้องแข็งแรงไปด้วยกัน 

นวัตกรรมไอทีเพื่อผู้สูงอายุ
กรมกิจการผ้สูงอายุที่ผ่านมา  การทำงานร่วมกันกับกระทรวงการอุดมศึกษา ฯ โดยมีการพัฒนา อุปกรณ์หลายอย่างเพื่อช่วยให้ผู้สูงอายุได้ดำรงชีวิตได้มีความสุขมากขึ้น เช่นอุปกรณ์ในการช่วยเดิน มีวีลแชร์ที่เข็นไปแล้วสามารถลุกขึ้นยืนได้ หรือผู้สูงอายุที่ต้องนอนติดเตียง อุปกรณ์อุ้มผู้สูงอายุอาบน้ำได้โดยไม่ทำให้ท่านบาดเจ็บทรมาน มีหลายเรื่องที่ทำงานในแผนปฏิบัติการที่ทำงานร่วมกัน




อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ กล่าวต่อว่า นวัตกรรมหลักๆ ที่ทำงานด้วยกันคือกระทรวง อว. เข้ามาในบ้าน ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการผู้สูงอายุ ไปดูว่าประเด็นที่ท้าทายในการทำงานมีอะไรบ้าง เช่น เรามีผู้สูงอายุหลายคน การพาผู้สูงอายุไปอาบน้ำกับสัดส่วนพี่เลี้ยงที่มีอาจจะไม่พอ เราก็พัฒนาเครื่องที่จะอุ้มผู้สงอายุสามารถไปอาบน้ำได้สะดวก หรือผู้สูงอายุที่ต้องทานยาก็จะมีนาฬิกาที่เตือนว่า ขณะนี้เป็นเวลาเท่าไหร่ถึงเวลาแล้ว แบบนี้เป็นต้นและเรื่องของไม้เท้าที่เป็นตัวเลเซอร์ สำหรับผู้สูงอายุที่เป็นอัลไซเมอร์ ท่านสามารถที่จะทรงตัวได้ เพราะตัวไม้เท้าจะมีตัวเลเซอร์ที่เท้า ผู้สูงอายุก็จะเดินทางเลเซอร์ของไม้เท้านั้น ท่านก็สามารถเดินไปไหนมาไหนได้สะดวกและอุปกรณ์ช่วยทรงตัว ควบคุมการทรงตัวและเดินไปไหนมาไหนได้ปลอดภัยเพราะเครื่องมือนี้จะช่วยโอบอุ้มทำให้ทรงตัวได้ดีเรื่องของอาหาร ตัวช่วยการนอน เพราะ

ผู้สูงอายุเวลาติดเตียงแล้วเวลาพลิกตัวจะลำบากก็จะมีที่นอนที่สามารถพลิกตัวได้โดยไม่เป็นแผลกดทับ รวมถึงตัวหมอนที่ทำให้วางมือลงไปบนหมอนได้โดยมือไม่ตกไปกระทบกับเตียงหรือสิ่งที่ทำให้บาดเจ็บได้


โครงการเร่งด่วนสำหรับการดูแลผู้สูงอายุ ในปี 
2566
ทางด้านภารกิจเร่งด่วนสำหรับการดูแลผู้สูงอายุ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ กล่าวต่อว่า สังคมผู้สูงอายุใกล้ตัวมากแล้ว เรียกว่าเป็น Completely Aged Society ที่สมบูรณ์ ดังนั้นสิ่งที่กรมต้องรีบทำคือต้องพัฒนาคนให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลผู้สูงอายุให้ได้เท่ากับจำนวนผู้สูงอายุมีอยู่ ตอนนี้ 12.5 ล้านคน ตอนนี้เรามีอาสาสมัครอยู่ 62,000 กว่าคน ซึ่งถ้าคิดว่าอาสาสมัคร คนจะไปดูแลผู้สูงอายุ 15 คน เราก็ต้องรีบสร้างผู้ดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น



ดังนั้นในแต่ละปีเราจะมีเป้าหมายให้ทุกพื้นที่ได้พัฒนาองค์ความรู้ให้แก่อาสาสมัคร ไม่ว่าจะเป็นอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เดิมให้มีความรู้เพิ่มขึ้น หรือเป็นอาสาสมัครใหม่ หนึ่งในมิติที่เราทำงานอีกหนึ่งคือ การดูแลผู้สูงอายุที่อยู่ในชุมชน เนื่องจากในบ้านเรามีศูนย์บริการสวัสดิการแก่ผู้สูงอายุแค่ 13 บ้านเท่านั้น ในแต่ละปีเรารองรับผู้สูงอายุไม่มากดังนั้นต้องทำงานในเชิงชุมชนเพื่อให้ชุมชนมีบ้านกลาง มีครอบครัวที่สามารถรองรับผู้สูงอายุได้และสิ่งที่ตัวเองตั้งใจจะทำให้ได้คือเรื่องของการปรับระเบียบกองทุนผู้สูงอายุ ซึ่งเดิมจะไปให้กับผู้สูงอายุในการประกอบอาชีพแต่เมื่อเราไปประเมินแล้ว ผู้สูงอายุหลายท่านที่กู้เงินกองทุนไป บางส่วนไม่สามารถทำงานได้อีก จึงไปปรับให้ลูกหลานที่ต้องทำหน้าที่ดูแลท่านสามารถกู้เงินตรงนี้ได้ และต้องมีแผนในการดูแลผู้สูงอายุให้เราด้วย ซึ่งน่าจะใช้เวลาสักระยะหนึ่ง จะทำให้อย่างเร่งด่วน

เรื่องมาตรฐานในการดูแลผู้สูงอายุในศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการผู้สูงอายุ 13 แห่ง กับเราต้องไปทำงานในชุมชนที่เขามีบ้านผู้สูงอายุ ตรงนี้เป็นตัวช่วยไม่ให้ผู้สูงอายุเข้ามาล้นในหน่วยงาน เราต้องเข้าไปดูเรื่องขององค์ความรู้ เรื่องของการพัฒนาบุคลากรและการเพิ่มโรงเรียนผู้สูงอายุให้ครอบคลุมทั้ง 7,000 กว่าตำบลทั่วประเทศไทย ตอนนี้เรามี 2,800 กว่าแห่ง แต่ยังไม่ครอบคลุม เมื่อไหร่ที่เรามีผู้สูงอายุครบทุกตำบล จะทำให้ผู้สูงอายุมีพลังมีกิจกรรมมากขึ้น ลดอัตราการเจ็บป่วย รวมถึงลดภาวะการติดบ้าน ติดเตียง ยืดเวลาให้ผู้สูงอายุได้นานมากที่สุดกับอีกหนึ่งมิติคือ เรื่องของการทำให้คนก่อนหกสิบปีได้มีเงิน ต้องรวยก่อนแก่ เตรียมมิติเรื่องการเก็บเงินการวางแผนการใช้จ่ายเงิน การขจัดหนี้สินต่างๆ หน่วยงานที่เกี่ยวกับเรื่องมิติเศรษฐกิจด้วย 


ส่วนด้านอุปสรรคและปัญหา
อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ กล่าวว่า ...จริงๆ ไม่อยากเรียกว่าเป็นปัญหา แต่เราถือเป็นข้อท้าทายมากกว่า สิ่งที่เราต้องทำคือ เรื่องแรกมิติของการเตรียมความพร้อมก่อนที่จะเป็นผู้สูงอายุ ซึ่งระยะที่ผ่านมาแม้จะเตรียมความพร้อมที่คนในวัยเยาวชน แต่ในปัจจุบันยังมีผู้สูงอายุหลายคนมากที่ไม่ได้เตรียมความพร้อมมาก่อน ก็จะมีปัญหาเรื่องรายได้ เรื่องของสุขภาพ ดังนั้น กรมฯ เองต้องทำงานเพิ่มในส่วนของ การทำงานกับภาคีที่เกี่ยวข้อง เช่นกระทรวงศึกษาธิการต้องเตรียมความพร้อมตั้งแต่วัยเด็ก หน่วยงานที่ต้องดูแลเรื่องเศรษฐกิจต่างๆต้องบอกว่า สิ่งหนึ่งที่จะต้องรีบทำคือทำให้วัยรุ่น ตัวเด็ก หรือวัยทำงานได้รู้ว่าเขาจะต้องใช้ชีวิตร่วมกับผู้สูงอายุอย่างไร เพราะเดี๋ยวถ้ามีผู้สูงอายุมากขึ้น ความเอื้ออาทร เรื่องของการช่วยกันดูแลสังเกต ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเป็นอาสาสมัครเป็นเรื่องสำคัญ


อีกหนึ่งคือเรื่องของการเตรียมความพร้อมก่อนที่จะเป็นผู้สูงอายุในมิติต่างๆ อย่างที่กล่าวไป ด้านสุขภาพทั้งกายและจิต เข้าสู่ระบบดิจิทัลเพื่อสะสมเวลาได้โดยมีระบบในการควบคุม อยากขยายให้มีจิตอาสาเพิ่มขึ้น เราจะเพิ่มจิตอาสาฯให้เข้าสู่ระบบธนาคารเวลาด้วย เมื่อไหร่ก็ตามที่การสะสมยิ่งนานวันขึ้นก็จะทำให้ผู้ที่เป็นจิตอาสาได้เวลาเพิ่มขึ้น ตอนนี้คิดกันว่า เช่นมีการสะสมสิบปีจะได้กี่ชั่วโมง หรือเท่าไหร่ เป็นมิติที่คิดกันไว้ อยากเชิญชวนพวกเราที่ยังแข็งแรงอยู่มาสมัครเป็นสมาชิกธนาคารเวลา และอยากเชิญชวนผู้สูงอายุที่ต้องการจิตอาสาในการดูแลให้สมัครเข้ามาที่กรมกิจการผู้สูงอายุได้ โดย
เอาภูมิปัญญาผู้สูงอายุที่ฝากไว้กับแผ่นดินนานแล้ว ได้ต่อยอดออกไป รวมถึงการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น 



ท้ายสุด สำคัญที่สุด คือคนในครอบครัว
“อยากทำให้สังคม ครอบครัวไทยที่เป็นครอบครัวที่เราได้ละเลยการดูแลผู้สูงอายุมาช่วงหนึ่ง ได้ย้อนกลับมาดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวของตัวเองเพื่อให้ท่านได้มีความสุขใจและความมั่นใจในการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพ อยากให้ทุกคนได้มองเห็นผู้สูงอายุ กรณีที่มีพลังอยู่ อยากให้นำท่านเข้ามาแลกเปลี่ยน เข้ามานำเอาคลังปัญญาที่ท่านมีอยู่มาใช้ในการพัฒนาสังคม เมื่อไหร่ก็ตามที่พบว่ามีผู้สูงอายุในภาวะเปราะบางก็อยากให้แจ้ง ถ้าเราสามารถช่วยเหลือท่านได้ แจ้งมาที่ศูนย์ฯพัฒนาสังคม 1300 ตลอด 24 ชม. 

ข่าวประชาสัมพันธ์

พม. จับมือ มูลนิธิ เมเจอร์ แคร์, GDH, และ มูลนิธิ 5 For All พาคุณตา คุณยาย ไปดูหนัง

ส่งเสริมคุณค่าความสำคัญระหว่างผู้สูงอายุและครอบครัว วันนี้ 26 เมษายน 2567 เวลา 10.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จัดแถล...

โวยวายดอทคอม