วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2563

ช่อง 3 และมูลนิธิครอบครัวข่าว ชวนคนไทยร่วมบริจาคเงินสมทบทุนช่วยเหลือ


ช่อง 3 และมูลนิธิครอบครัวข่าว ชวนคนไทยร่วมบริจาคเงินสมทบทุนช่วยเหลือ จัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้หน่วยแพทย์ พยาบาล และโรงพยาบาล ในโครงการ “ช่อง 3 เคียงข้างคนไทย ฝ่าภัย 
โควิด-19” เพื่อสู้กับวิกฤตภัยไวรัสที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในเวลานี้ โดยอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆเป็นสิ่งจำเป็นต่อการรักษา และตรวจวินิจฉัยผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ที่ส่งผลต่อเนื่องไปสู่คนใกล้ตัว รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องทำการรักษาอย่างใกล้ชิดกับผู้ป่วย

         
เพื่อช่วยกันบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นดังกล่าว ช่อง 3 และมูลนิธิครอบครัวข่าว ขอเป็นส่วนหนึ่งในการรวมพลังสมทบทุน โดยการเชิญชวนคนไทยให้มาช่วยกันซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์มอบให้โรงพยาบาลที่มีความจำเป็นโดยสามารถร่วมบริจาคสมทบทุนได้ทาง บัญชีกระแสรายวัน เลขที่ 014-3-00459-6 ธนาคารกรุงเทพ สาขาอาคารมาลีนนท์ ชื่อบัญชี มูลนิธิครอบครัวข่าว

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

โทร.02-262-3277 และ 02-687-5085
ช่อง 3 จะอยู่เคียงข้างคนไทยฝ่าภัยโควิด-19 ไปด้วยกัน

ช่อง 7HD บริจาค 7 ล้านบาท พร้อมอาสาเป็นสื่อกลาง ให้ประชาชน ร่วมบริจาคสมทบทุน

ช่อง 7HD บริจาค 7 ล้านบาท พร้อมอาสาเป็นสื่อกลาง ให้ประชาชน ร่วมบริจาคสมทบทุน ผ่านบัญชี “ช่อง 7 รวมใจสู้ภัยโควิด-19” ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาสำนักเพลินจิต       เลขที่บัญชี 001-0-1-8355-8 (กระแสรายวัน) ตั้งแต่วันนี้ถึง 7 เมษายน 2563 รายได้ทั้งหมดมอบให้   10 โรงพยาบาลรัฐฯ ที่ให้การดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19
           
ผู้ชมสามารถอัพเดทข่าวสารเกี่ยวกับโรคโควิด -19 และการรับบริจาค เป็นประจำทุกวันในรายการสนามข่าว 7 สี เวลา 07.30 น. และสรุปยอดเงินบริจาคแต่ละวัน ในช่วงรายการข่าวภาคค่ำ เวลา 20.00 น.ทางช่อง 7HD กด 35  ตั้งแต่วันนี้ถึง 7 เมษายน 2563 เงินบริจาคทั้งหมดถูกจัดสรรให้กับโรงพยาบาล          10 แห่ง ดังนี้ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย,โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลรามาธิบดี,
โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ, สถาบันบำราศนราดูร, โรงพยาบาลราชวิถี และ โรงพยาบาลศูนย์ทุกภาค 4 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลนครพิงค์ จ.เชียงใหม่, โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี, โรงพยาบาลชลบุรี จ.ชลบุรี และโรงพยาบาลหาดใหญ่ จ.สงขลา
           
ผู้บริจาคที่ต้องการใบเสร็จลดหย่อนภาษี สามารถส่งหลักฐานการโอนเงิน ชื่อ-นามสกุล และที่อยู่มาทาง Line @ch7hdfightcovid19
            
ผู้ชมสามารถรับชม ช่อง 7HD กด 35 หรือทางออนไลน์ Facebook, instagram, 
YouTube : Ch7HD หรือรับชมย้อนหลังได้ทางแอพลิเคชั่น  BUGABOO.TV
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ ช่อง 7HD    โทร 02-495-7777

วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2563

"OLAY Retinol24" ตัวช่วยกู้หน้าพังสำหรับกลางคืน ให้ตื่นพร้อมผิวเด้ง ดูเด็กทุกวัน OLAY

ตัวช่วยกู้หน้าพังสำหรับกลางคืน ให้ตื่นพร้อมผิวเด้ง ดูเด็กทุกวัน ผสานนวัตกรรมใหม่ล่าสุดจากโอเลย์ ‘Bioavailability’
ควง Shopee เปิดตัวปล่อยโปรเด็ด 17-19 มี.ค.นี้!


โอเลย์ (OLAY) แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวชั้นนำในประเทศไทย เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด ภายใต้ชื่อ “OLAY Retinol24” เอาใจสาย Work hard Play harder ที่ไม่ว่าจะทำงานหนัก อดนอน หรือปาร์ตี้ดึกแค่ไหน ก็มีตัวช่วยกู้ผิวหน้าพัง ให้ลุคปังยามเช้า เสมือนผิวได้พักผ่อนเต็มอิ่ม ตื่นพร้อมผิวเด้งดูเด็กทุกวัน โดยผลิตภัณฑ์ในคอลเลคชั่นนี้ โอเลย์ได้ผสานนวัตกรรม ‘Bioavailability’ นวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่มีในท้องตลาด เพื่อการซึมซาบลงสู่ผิวอย่างล้ำลึกขึ้น พร้อมเปิดตัวด้วยการควงช้อปปี้ (Shopee) ผู้นำแพลทฟอร์มอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน จัดโปรโมชั่นสุดร้อนแรงครั้งแรก ใน “OLAY X SHOPEE Super Brand Day” กับส่วนลดจากผลิตภัณฑ์โอเลย์ทั้งหมด กว่า 50% และช็อป Olay Retinol24 ในราคาสุดพิเศษเพียงชิ้นละ 799 บาท จากราคาปกติ 1,199 บาท เตรียมนิ้วล็อค ช็อปให้ทัน 17-19 มีนาคมนี้!
ด้วยไลฟ์สไตล์สาวๆ วัย 30 ที่มากความสามารถ ทำงานหนักและสนุกไปกับทุกบทบาทในชีวิต แต่อาจจะยังขาดตัวช่วยดูแลผิวให้พร้อมรับกับสถานการณ์เหล่านั้น จึงทำให้โอเลย์เกิดแรงบันดาลใจในการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้หญิง ที่ไม่ว่าจะทำงาน อดนอน หรือปาร์ตี้หนักเพียงไหน เช้าวันใหม่ต้องหน้าเด้ง ลุคปัง พร้อมลุยทุกสถานการณ์
ขอแนะนำ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำหรับกลางคืนใหม่ล่าสุด “OLAY Retinol24” ที่ผสานนวัตกรรมสุดล้ำ “Bioavailability Retinoid” เทคโนโลยีที่ช่วยให้เนื้อผลิตภัณฑ์ซึมลึกลงสู่ผิวยิ่งขึ้น และฟื้นฟูผิวให้ชุ่มชื้น ดูอิ่มเอิบตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมช่วย ลดเลือนริ้วรอย ให้ผิวดูอ่อนเยาว์สุขภาพดีใน 28 วัน ด้วยการผสานส่วนผสมหลักอย่าง Retinol24 (วิตามินเอ) และไนอะซินาไมด์ (วิตามิน บี3) ส่วนผสมอันเป็นเอกลักษณ์ของโอเลย์ ที่พิสูจน์แล้วว่าช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับเกราะป้องกันของผิว เสริมสร้างคอลลาเจน กระชับรูขุมขน พร้อมฟื้นบำรุงผิวให้แลดูอ่อนเยาว์ชุ่มชื้นยาวนาน 24 ชม. โดยสามารถใช้ Olay Retinol 24 ได้ทุกวันไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ไม่ทำให้ผิวแห้ง เพราะไม่มีน้ำหอมเจือปน


สำหรับคอลเลคชั่น OLAY Retinol 24 นี้ มีผลิตภัณฑ์ออกวางจำหน่ายเพื่อการดูแลอย่างสมบูรณ์แบบถึง 3 ชนิดด้วยกัน คือ โอเลย์ รีเจนเนอรีส เรตินอล24 ไนท์ เซรั่ม (Olay Regenerist Retinol24 Night Serum) เซรั่มบำรุงผิวหน้าสำหรับกลางคืน เพื่อผิวเด้งใส ชุ่มชื้นยาวนาน 24 ชั่วโมง ขับความเปล่งปลั่งอ่อนเยาว์, โอเลย์ รีเจนเนอรีส เรตินอล 24 ไนท์ มอยเจอร์ไรเซอร์ (Olay Regenerist Retinol24 Night Moisturizer) มอยเจอร์ไรเซอร์บำรุงผิวหน้าสำหรับกลางคืน ให้ผิวเด้ง ชุ่มชื้น ตื่นรับผิวสดใสเมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง และ โอเลย์ รีเจนเนอรีส เรตินอล 24 ไนท์ อายครีม (Olay Regenerist Retinol24 Night Eye Cream) ครีมบำรุงผิวรอบดวงตาสำหรับกลางคืน ให้ตื่นพร้อมดวงตาที่สดใสอ่อนเยาว์ ไร้ริ้วรอยในทุกเช้า เพียงเท่านี้สาวๆ ก็ตื่นเต็มตารับวันใหม่ด้วยผิวเด้ง ดูเด็กได้ทุกวัน เหมือนนอนเต็มอิ่มมาทั้งคืนเลยเชียวล่ะ!

และที่พิเศษสุดกับการเปิดตัว Olay Retinol 24 ผลิตภัณฑ์น้องใหม่ล่าสุดจากโอเลย์ในครั้งนี้ คือทางโอเลย์ ได้ประกาศความร่วมมือในระดับภูมิภาค จับมือ ‘ช้อปปี้’ ผู้นำแพลทฟอร์มอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน เปิดตัวผลิตภัณฑ์ OLAY Retinol 24 ในเมืองไทยเป็นครั้งแรก ให้สาวกสกินแคร์ได้เลือกช็อปผลิตภัณฑ์คุณภาพจากโอเลย์ อย่างจุใจ ที่ Olay Official Shop บนช้อปปี้ และเตรียมพบกับแคมเปญร้อนแรงรับซัมเมอร์ที่สาวกสกินแคร์ห้ามพลาด กับ “OLAY X SHOPEE Super Brand Day” ระหว่างวันที่ 17-19 มีนาคม 2563 ที่โอเลย์จัดโปรโมชั่นหั่นราคาสุดพิเศษ ลดทั้งร้านสูงสุด 50% รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 60% และของแถมสุดพิเศษทั้ง Google Home เครื่องนวดหน้า และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ยังสามารถช็อป Olay Retinol24 ในราคาสุดพิเศษเพียง 799 บาท จากราคาปกติ 1,199 บาท


ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://shopee.co.th/m/sbd-olay

#OlayRetinol24 #ตื่นพร้อมผิวเด้งดูเด็กทุกวัน #เมื่อคืนพังวันนี้ปัง #OlayThailand

ไวตามิ้ลค์ ร่วมรณรงค์ชวนทุกคน #อยู่บ้านเพื่อชาติ


ไวตามิ้ลค์ ส่งแมสเสจชวนทุกคนให้อยู่บ้าน ผ่านโลโก้แบรนด์เป็นภาพโลโก้หลักอยู่ในบ้าน พร้อมติดแฮชแท็ก #StayAtHome เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยรณรงค์ให้คนอยู่บ้านลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 พร้อมส่งความห่วงใยชวนทุกคนดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายทุกวัน #กายพร้อม ใจพร้อม เราทำได้

#ไวตามิ้ลค์ #เติมโปรตีนเพิ่มความแข็งแรง
#กายพร้อมใจพร้อมเราทำได้
#อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ
#StayAtHome

ธ.ออมสิน เดินเครื่อง GSB Smart Homestay โฮมสเตย์มีสไตล์

นำทีมผู้บริหารพร้อม 6 ดาราบัดดี้ ลุยเสริมแกร่งชุมชนมุ่งพัฒนามาตรฐานโฮมสเตย์ไทยสู่สากล


แบงก์ออมสิน ติวเข้ม 6 ชุมชน ส่งดูงานโฮมสเตย์ต้นแบบที่เชียงราย มุ่งถอดบทเรียนสู่การพัฒนา ก่อนเข้าชิง GSB Smart Homestay โฮมสเตย์มีสไตล์

ธนาคารออมสิน ในฐานะสถาบันการเงินที่ให้การสนับสนุนชุมชนอย่างใกล้ชิดเสมอมา เดินหน้าสานต่อ โครงการชุมชนประชารัฐสีชมพู ภายใต้แนวคิด “GSB Smart Homestay โฮมสเตย์มีสไตล์” จัดกิจกรรมติวเข้มเพื่อให้ผู้นำพร้อมด้วยสมาชิกของทั้ง 6 ชุมชน ได้เตรียมความพร้อมก่อนลงมือพัฒนาชุมชนของตัวเอง ด้วยการส่งตัวแทนของทุกชุมชนเดินทางไปศึกษาดูงานโฮมสเตย์ต้นแบบประชารัฐสีชมพู ณ บ้านท่าขันทอง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เพื่อเติมเต็มองค์ความรู้ที่จะสามารถนำไปปรับใช้เพื่อการพัฒนาต่อไป

คุณวินัย สิทธิไวทยาภรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม ธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า กิจกรรมการศึกษาดูงานโฮมสเตย์ต้นแบบในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญซึ่งสืบเนื่องจากโครงการชุมชนประชารัฐสีชมพู ปีที่ 4 GSB Smart Homestay โฮมสเตย์มีสไตล์ โดยธนาคารออมสิน มีความตั้งใจที่จะส่งเสริมการพัฒนาทุกชุมชนที่เข้าร่วมโครงการได้มีโอกาสเรียนรู้การบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวในชุมชนให้มีศักยภาพที่เข้มแข็งในทุกด้าน ทั้งด้านสังคม สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรม วัฒนธรรม ขนบประเพณีและวิถีชุมชน จึงได้ประสานความร่วมมือกับผู้นำชุมชนบ้านท่าขันทอง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ซึ่งเป็น 1 ใน 10 โฮมสเตย์ที่คว้ารางวัลโครงการประชารัฐสีชมพู ปีที่ 3 "GSB Smart Homestay" เมื่อปี 2561 มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ แบ่งปันองค์ความรู้ ซึ่งทั้ง 6 ชุมชนที่ผ่านการคัดเลือกสามารถนำไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการบริหารจัดให้สอดคล้องกับบริบทของโฮมสเตย์
และแหล่งท่องเที่ยวในชุมชนของตนได้


สำหรับตัวแทนจากทั้ง 6 ชุมชนที่ผ่านการคัดเลือกในโครงการชุมชนประชารัฐสีชมพู ปีที่ 4 GSB Smart Homestay โฮมสเตย์มีสไตล์ ได้แก่ ชมรมท่องเที่ยวบ้านมุงเหนือ อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก วิสาหกิจชุมชนโฮมสเตย์บ้านปรางค์นคร อ.คง จ.นครราชสีมา ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวและโฮมสเตย์บ้านวังมน อ.ภูผาม่าน จ.ขอนแก่น ชมรมท่องเที่ยวโดยชุมชนและโฮมสเตย์บ้านป่าหนองขาว อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี วิสาหกิจชุมชนเพื่อการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ บ้านน้ำราด อ.คีรีรัฐนิคม จ.สุราษฎร์ธานี กลุ่มตลาดน้อยโฮมสเตย์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ ต่างก็ได้เดินทางไปศึกษาดูงาน ณ

สถานที่จริงของโฮมสเตย์ต้นแบบ พร้อมร่วมทำกิจกรรมเวิร์คช็อปกับวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งได้รับคำชี้แนะอันเป็นประโยชน์อย่างมาก


นายเศรษฐศักดิ์ พรหมมา ปลัดเทศบาล ต.บ้านแซว และที่ปรึกษาโฮมสเตย์บ้านท่าขันทอง กล่าวว่า การพัฒนาโฮมสเตย์และแหล่งท่องเที่ยวในแต่ละท้องถิ่นมีหลักการไม่แตกต่างกันนัก เพียงแต่ต้องปรับใช้ให้สอดคล้องกับบริบทของชุมชนที่มีพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ประเพณีที่ต่างกันออกไป ใจความสำคัญของการพัฒนาคือการยกระดับโฮมสเตย์ให้ได้มาตรฐาน ที่จะนำไปสู่ความไว้วางใจของนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นความสะอาด ความปลอดภัย ศักยภาพด้านการบริการ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วคงไม่ต่างจากมาตรฐานที่พักอย่างที่โรงแรมทั่วไปพึงมี แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการจะเป็นโฮมสเตย์ก็คือการสื่อสารที่เด่นชัดในอัตลักษณ์ชุมชน ที่จะเป็นมนต์เสน่ห์ที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยว จะด้วยกิจกรรมที่สร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนในท้องถิ่นกับนักท่องเที่ยวก็ดี สินค้า และบริการก็ดี สิ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนเอกลักษณ์เฉพาะของชุมชนและทำให้เกิดการบอกต่อได้

นายเศรษฐศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ความท้าทายอีกด้านที่ชุมชนส่วนใหญ่ต้องพบแน่นอน คือทักษะด้านการบริหารจัดการที่เป็นระบบ ส่วนนี้ธนาคารออมสินจะมีส่วนช่วยอย่างมากในการเติมเต็มองค์ความรู้ให้แก่ผู้นำและสมาชิกชุมชนทุกแห่งที่เข้าร่วมโครงการ ทั้งด้านการตลาด การประชาสัมพันธ์ เทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างสม่ำเสมอและสอดคล้องกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งการจัดสรรงบประมาณที่โปร่งใส่ กระจายรายได้สู่สมาชิกในชุมชนอย่างเป็นธรรม สิ่งเหล่านี้เป็นการพัฒนาความเข้มแข็งและรักษาความยั่งยืนให้ชุมชนพึ่งพาตนเองต่อไปได้

โดยกิจกรรมและความคืบหน้าของโครงการชุมชนประชารัฐสีชมพู ปีที่ 4 GSB Smart Homestay โฮมสเตย์มีสไตล์ โดยธนาคารออมสิน ยังคงมีเรื่องราวให้ทุกท่านสามารถติดตามได้อย่างต่อเนื่องจาก Facebook Fanpage : ชุมชนประชารัฐออมสินสีชมพูหรือสื่อประชาสัมพันธ์ของธนาคารออมสิน เว็บไซต์ www.gsb.or.th Facebook : GSB Society พร้อมด้วยช่องทาง Youtube : GSB SMART HOMESTAY โฮมสเตย์มีสไตล์ หรือทาง Official Line : GSB ธนาคารออมสิน และรายการ “GSB SMART HOMESTAY โฮมสเตย์มีสไตล์” ทุกวันเสาร์ เวลา 08.30 - 09.00 น.ออกอากาศทางช่อง PPTV HD ช่อง 36

เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป ขยายเวลาปิดให้บริการเป็นการชั่วคราว/ยกเว้นเก็บค่าเช่าและค่าบริการ

ยกเว้นเก็บค่าเช่าและค่าบริการ ในช่วงที่ศูนย์การค้าฯ ปิดชั่วคราวตามประกาศรัฐบาล ร่วมมือร่วมใจก้าวผ่านวิกฤติ COVID-19



สืบเนื่องจากประกาศของกรุงเทพมหานคร เรื่อง สั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 4) ลงวันที่ 27 มีนาคม 2563 โดยระบุว่า จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ประกอบกับการที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศใช้พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) ทุกพื้นที่ทั่วราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม – 30 เมษายน 2563 นี้ เพื่อให้สอดคล้องกับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน พร้อมขยายคำสั่งประกาศ ที่จะมีผลถึง 12 เมษายน 2563 จึงกำหนดให้ปิดสถานที่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร รวมทั้งห้างสรรพสินค้า เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 28 มี.ค. – 30 เม.ย.นี้

บริษัท เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารศูนย์การค้า เดอะ แพลทินัม แฟชั่น มอลล์ , เดอะ มาร์เก็ต แบงคอก ราชประสงค์ ,เดอะ นีออน ไนท์ บาซาร์   จึงขอขยายเวลาปิดให้บริการเป็นการชั่วคราว ไปจนถึง 30 เมษายน 2563 โดยยกเว้นพื้นที่และบริการในส่วนของ ร้านขายยา ร้านสะดวกซื้อ หรือสินค้าเบ็ดเตล็ด ที่จำเป็น     ต่อการดำรงชีวิต ยังเปิดให้บริการตามปกติ  โดยในส่วนของร้านอาหารเปิดเฉพาะการจำหน่ายอาหารเพื่อนำกลับไปบริโภคที่อื่นเท่านั้น

สำหรับร้านค้าที่ต้องปิดให้บริการเป็นการชั่วคราวระหว่างวันที่ 22 มีนาคม ถึง 30 เมษายน 2563 ตามประกาศภาครัฐนั้น ทางบริษัท ได้พิจารณาช่วยเหลือแบ่งเบาภาระด้วยการยกเว้นการเรียกเก็บค่าเช่าและค่าบริการ

ทั้งนี้บริษัท ยังคงยืนยัน  ในการจัดการมาตรการอันเข้มงวดเพื่อการป้องกันการแพร่ระบาดไวรัส COVID-19   ในทุกธุรกิจศูนย์การค้าเพื่อพนักงาน ร้านค้า และลูกค้า ได้รับความปลอดภัยอย่างสูงสุด นอกจากนี้ยังได้เตรียมแผนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทยภายหลังจากสถานการณ์นี้ผ่านพ้นไป พร้อมขอขอบพระคุณทุกท่าน ที่ให้ความเชื่อมั่นและไว้วางใจกันมาโดยตลอด 

Amazing Distancing @Hotel



การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จับมือกับสมาคมโรงแรมไทย, สมาคมหอการค้าไทย และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย จัดโครงการ Amazing Distancing @Hotel ส่งเสริมการรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยการกักตัวอยู่ในที่พักของตนเองในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิท-19 ในปัจจุบัน พร้อมตอบรับความต้องการของคนที่ต้องการที่พักที่มีความเป็นส่วนตัว มีอุปกรณ์และระบบรองรับสำหรับการทำงานแบบ Work from Home รวมถึงการเป็นที่พักในระยะสั้นๆ ระหว่างที่ยังต้องออกมานอกบ้านเพื่อทำงาน แต่ก็กังวลว่าตนเองอาจจะเสี่ยงที่จะพาหะแพร่เชื้อให้กับคนที่บ้าน ฯลฯ

ททท. จึงได้ร่วมมือกับสมาคมโรงแร
มไทย โดยให้ผู้ประกอบการโรงแรมในเครือข่ายนำห้องพักมาจัดทำแพ็คเกจตามระยะเวลาการเข้าพัก ไม่ว่าจะเป็น 7 วัน หรือ 14 วัน ซึ่งห้องพักนอกจากจะสะดวกสบายไปด้วยระบบสาธารณูปโภคเพื่อรองรับการทำงานแบบพร้อมสรรพแล้ว ยังมีบริการอาหาร 3 มื้อในทุกวัน ตลอดระยะเวลาเข้าพัก


ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียด แพ็คเกจที่พักได้ที่เว็บไซต
www.tourismthailand.org/tourismdepartmentstore

ETDA เผย ปี 62 คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10 ชั่วโมง 22 นาที Gen Y ครองแชมป์ 5 ปีซ้อน

กิจกรรมออนไลน์สุดฮิต “สั่งอาหาร-ชำระเงิน-รับ ส่งสินค้าพัสดุ-ดูหนังฟังเพลง-ใช้บริการรถโดยสาร”


สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ตด้า) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เผยผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2562 หรือ Thailand Internet User Behavior 2019  ชี้ ทศวรรษที่ผ่านมา คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดกว่า 150% ส่งผลให้ปัจจุบันไทยมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 47.5 ล้านคน หรือราว 70% ของจำนวนประชาชนทั้งหมด จากตัวเลขที่พุ่งสูงนี้นับเป็นทั้งโอกาสและภัยคุกคามที่ภาครัฐต้องดูแล ส่งเสริม และเฝ้าระวัง ให้การใช้อินเทอร์เน็ตเก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนมั่นคงปลอดภัยไปพร้อม ๆ กัน ผ่านนโยบายที่ตอบโจทย์การใช้ดิจิทัลเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทย ซึ่งการได้มาของนโยบายเหล่านี้จะต้องมีฐานข้อมูลสนับสนุน 

ETDA ซึ่งมีภารกิจในการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และอีคอมเมิร์ซของไทยให้ได้มาตรฐาน มั่นคงปลอดภัย และมีความน่าเชื่อถือ ได้จัด “โครงการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย” (Thailand Internet User Behavior) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 (2556-ปัจจุบัน) เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของคนไทย ที่มีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในมิติต่าง ๆ เพื่อนำไปต่อยอดการกำหนดยุทธศาสตร์ ส่งเสริม และสนับสนุนการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย ให้สามารถแข่งขันได้ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับสากลและช่วยให้มีข้อมูลเพื่อใช้ในการดูแลประชาชนให้สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้อย่างสร้างสรรค์และมั่นคงปลอดภัยยิ่งขึ้น และเพื่อเป็นข้อมูลสนับสนุนการทำ Marketing และกลยุทธ์เชิงธุรกิจอื่น ๆ ของผู้ประกอบการ เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันด้วย โดยตลอด 6 ปีที่ได้เผยแพร่ผลการสำรวจ ก็ได้รับผลตอบรับที่ดีจากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน นำข้อมูลไปอ้างอิงและใช้ประโยชน์กันในวงกว้าง


จากการสำรวจข้อมูลของประชาชนเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ต ประจำปี 2562 ผ่านทางออนไลน์ ช่วงเดือน ส.ค.- ต.ค. 2562 โดยมีคนไทยเข้ามาตอบแบบสอบถามกว่า 17,242 คน ซึ่งจากการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า ปี 2562 คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ยวันละ 10 ชั่วโมง 22 นาที เพิ่มขึ้น 17 นาทีจากปีที่ 2561 และเมื่อพิจารณาเป็นรายประเด็นเทียบกับชั่วโมงการใช้งาน พบข้อมูล ดังนี้

ประเด็นเพศ พบว่า เพศทางเลือกครองแชมป์ใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุด 11 ชั่วโมง 20 นาที รองลงมาคือ เพศชาย 10 ชั่วโมง 25 นาที และเพศหญิง 10 ชั่วโมง 17 นาที

ประเด็น Generation พบว่า Gen Y (19-38 ปี) ยังคงครองแชมป์การใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดติดต่อกัน 5 ปีซ้อน โดยมีชั่วโมงการใช้อินเทอร์เน็ตอยู่ที่ 10 ชั่วโมง 36 นาที รองลงมาได้แก่ Gen Z (ต่ำกว่า 19 ปี) อยู่ที่ 10 ชั่วโมง 35 นาที ส่วน Baby Boomer (55-73 ปี) อยู่ที่ 10 ชั่วโมง และ Gen X (39-54ปี) อยู่ที่ 9 ชั่วโมง 49 นาที ตามลำดับ

ประเด็นอาชีพ พบว่า ไม่ว่าอาชีพไหนก็ใช้อินเทอร์เน็ตแทบไม่ต่างกัน โดยนักเรียน/นักศึกษา ใช้อินเทอร์เน็ตสูงสุด อยู่ที่ 10 ชั่วโมง 50 นาที รองลงมาคือ พ่อบ้าน/แม่บ้าน  10 ชั่วโมง 38 นาที เจ้าของกิจการ/ประกอบธุรกิจส่วนตัว 10 ชั่วโมง 34 นาที คนว่างงาน/ไม่มีงานทำ 10 ชั่วโมง 32 นาที และอาชีพอิสระ/ฟรีแลนซ์ 10 ชั่วโมง 30 นาที ตามลำดับ

เช่นเดียวกับ ประเด็นด้านพื้นที่ พบว่า มีชั่วโมงการใช้อินเทอร์เน็ตใกล้เคียงกัน ภาคเหนือมีจำนวนชั่วโมงการใช้อยู่ที่ 10 ชั่วโมง 31 นาที ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 10 ชั่วโมง 28 นาที ภาคกลาง 10 ชั่วโมง 19 นาทีกรุงเทพฯ 10 ชั่วโมง 19 นาที และภาคใต้ 10 ชั่วโมง 17 นาที ตามลำดับ ซึ่งอาจเป็นผลมาจากนโยบายเน็ตประชารัฐที่คลอบคลุมพื้นที่แล้วกว่า 24,700 หมู่บ้าน และบริการ Free WI-FI ที่คลอบคลุมชุมชนกว่า 10,000 จุด ทำให้คนในทุกพื้นที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้อย่างทั่วถึง




นอกจากนี้ ยังพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่กว่า 91.2% ใช้อินเทอร์เน็ตไปกับ Social Media (Facebook, Line, Instagram) ซึ่งถือเป็นกิจกรรมยอดฮิต 7 ปีซ้อน รองลงมาคือ ดูหนัง ฟังเพลง 71.2% ค้นหาข้อมูลออนไลน์ 70.7% รับ-ส่งอีเมล  62.5% และการชำระเงินค่าสินค้าและบริการทางออนไลน์ 60.6% ซึ่งปีนี้เป็นปีแรกที่การชำระเงินติด 1 ใน 5 ของกิจกรรมยอดฮิต สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของ Online payment services ของไทยที่เพิ่มมากขึ้น

ขณะที่ กิจกรรมออนไลน์ที่กำลังมาแรงและมีการเติบโตเพิ่มขึ้นหากเทียบกับปี 2561 คือ การสั่งอาหารออนไลน์ ได้รับความนิยมมากสุด เพิ่มขึ้นจากปี 61 ถึง 15.1% รองลงมาคือ การชำระค่าสินค้าและบริการ ใช้บริการเพิ่ม 11.4% และการรับ-ส่งสินค้า/พัสดุ/เอกสารทางออนไลน์ เพิ่มขึ้น 11.0%  ตามลำดับ
เมื่อพิจารณาช่องทางออนไลน์ไหน ถูกใจคนซื้อ-ขายมากที่สุด พบว่า ช่องทางที่ผู้ซื้อเลือกใช้เพื่อซื้อสินค้ามากที่สุด คือ e-Marketplace ได้แก่ Shopee 75.6% รองลงมาคือ Lazada 65.5%  และ Social Media ได้แก่ Facebook Fanpage 47.5% และ Line 38.9% ต่างจากช่องทางที่ผู้ขายนิยมใช้ที่เพื่อขายของออนไลน์มากที่สุด คือ Facebook Fanpage 64.0% รองลงมาคือ Shopee 43.1% และ LINE 39.5% และยังพบว่า คนไทยนิยมใช้ LINE ติดต่อสื่อสาร 98.5% รองลงมาคือ Facebook Messenger, FaceTime และ WhatApp ตามลำดับ



แม้จากการสำรวจจะพบ ปัญหากวนใจในการใช้อินเทอร์เน็ต มากสุดที่คือ โฆษณาออนไลน์รบกวนการใช้งาน 78.5% รองลงมาคือความล่าช้าในการเชื่อมต่อ 68.7% ปัญหาข้อมูลไม่น่าเชื่อถือ 35.8% แต่ผู้ตอบแบบสอบถาม 73.3% ยังคงเชื่อมั่นในความมั่นคงปลอดภัยในการใช้งานอินเทอร์เน็ต ความเชื่อมั่นที่ค่อนข้างสูงนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความเอาใจใส่ในการเพิ่มมาตรการลดภัยคุกคามออนไลน์ต่างๆ  เช่น จัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย หรือ Anti-Fake News Center ของกระทรวงดิจิทัลฯ เพื่อลดปัญหาข่าวปลอม และการมีศูนย์รับเรื่องร้องเรียนปัญหาออนไลน์ 1212 OCC หรือ Online Complaint Center ของ ETDA ที่เปิดให้ผู้ใช้ออนไลน์สามารถขอคำปรึกษาและร้องเรียนปัญหาออนไลน์ ได้ทั้งช่องทางโทรศัพท์สายด่วน 1212 ตลอด 24 ชม. และอีเมล 1212@mdes.go.th หรือเว็บไซต์ www.1212occ.com เป็นต้น

สำหรับประเด็นร้อน Hot Issue ความรู้ความเข้าใจเรื่องดิจิทัลไอดีี ETDA พบว่า กิจกรรมการพิสูจน์และยืนยันตัวตนที่คนส่วนใหญ่รู้จักและเคยทำมาก่อนกว่า 91.6% คือการกรอก รหัส OTP รองลงมาคือ การสมัครใช้บริการออนไลน์ของเอกชน โดยให้ข้อมูลส่วนบุคคล 85.9% การเข้าใช้บริการออนไลน์ของภาคเอกชนด้วยรหัสผ่านที่ตั้งขึ้นมา 82.1%

โดยกิจกรรมที่นิยมสร้างบัญชีใหม่ เพื่อยืนยันการใช้บริการมากที่สุดคือ การต่อทะเบียนภาษีรถยนต์ออนไลน์ รองลงมาคือ การซื้อขายสินทรัพย์ออนไลน์ และการเรียนออนไลน์ ส่วนกิจกรรมที่นิยมใช้บัญชีเดิม (บัญชีใน Social Media, Internet Banking ฯลฯ)  มากที่สุดคือ ใช้รถโดยสารออนไลน์ รองลงมา สั่งอาหารออนไลน์ และอ่านหนังสือทางออนไลน์ และเมื่อถามว่า ต้องการใช้บัญชีเดียวในการเข้าถึงทุกบริการออนไลน์หรือไม่ ส่วนใหญ่ 64.4% ตอบว่าต้องการใช้บัญชีเดียวเข้าถึงทุกบริการ 23.8% ตอบว่าไม่แน่ใจ และ 11.9% ตอบว่าไม่ต้องการ และประเด็นที่ผู้ตอบแบบสอบถามต้องการให้ภาครัฐดูแลมากที่สุด คือ ความมั่นคงปลอดภัย ป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล  61.4% การมีกฎหมายกำกับ ดูแลหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง 18.5% การรับรองจากหน่วยงานภาครัฐ 11.2%  และระบบที่สามารถให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง 7.2% เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม  สิ่งที่ ETDA ได้ทำไปแล้วในการวางมาตรฐานและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ คือ การผลักดัน (1) พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ฉบับที่ 3 และ 4) พ.ศ. 2562 เพื่อรองรับสถานะทางกฎหมายของ Digital ID (2) มาตรฐานรองรับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือตามกฎหมาย และ (3) อยู่ระหว่างการนำเสนอร่าง พ.ร.ฎ. ว่าด้วยการควบคุมดูแลการประกอบธุรกิจบริการเกี่ยวกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล พ.ศ. ..... และร่างประกาศสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง แนวทางการเข้าร่วมโครงการทดสอบนวัตกรรมเกี่ยวกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล พ.ศ. .... (Digital ID Sandbox) เพื่อวางกฎเกณฑ์กำกับดูแลธุรกิจบริการที่เกี่ยวกับ Digital ID ซึ่งจะสร้างระบบนิเวศของการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการพิสูจน์และยืนยันตัวตนที่น่าเชื่อถือต่อไป

ทั้งนิ้ สามารถดาวน์โหลด รายงานผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2563” (Thailand Internet User Behavior 2019) ได้ที่ https://www.etda.or.th/publishing-detail/thailand-internet-user-behavior-2019.html หรือสแกนคิวอาร์โค้ด 

วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2563

วัดธรรมปัญญารามบางม่วง ร่วมต้านโควิด – 19 แจกสมุนไพร เจลแอลกอฮอลล์ล้างมือ ฟรี

องพจนกรโกศล ดร. (พิสิฐษ์ เถี่ยนบ๊าว) ผู้ช่วยปลัดซ้ายอนัมนิกาย ประชาสัมพันธ์คณะสงฆ์อนัมนิกาย เจ้าอาวาสวัดธรรมปัญญารามบางม่วง พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณร เจริญพระพุทธมนต์ อธิษฐานจิตน้ำพระพุทธมนต์ สมุนไพร เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ เพื่อแจกจ่ายให้กับสาธุชน ให้รอดพ้นจากภัยอันตราย ด้วยโครงการพระยูไลต้านภัย โควิด-19

แจก สมุนไพรฟ้าทะลายโจร 1 ห่อ เจลแอลกอฮอล์ 1 หลอด ท่านละ 1 ชุด

ติดต่อสอบถามได้ที่ 099-7131891 องสมุห์ณัฐกิจ
Line ID : @MAHAYUAN
Facebook:วัดธรรมปัญญารามบางม่วง












วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2563

ออมสิน kickof Soft Loan ปล่อยกู้ 1 หมื่นล้านบาท จับมือ ททท - สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว - บสย

บ่ายวันนี้ ออมสิน kickof Soft Loan ปล่อยกู้ 1 หมื่นล้านบาท จับมือ ททท - สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว - บสย โดยมี ท่านรัฐมนตรีกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ เป็นประธานพิธี เพื่อร่วมมือพลิกฟื้นท่องเที่ยวให้กลับมาเป็นฟันเฟือง สำคัญของเศรษฐกิจไทย โดยดึงผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบเข้าคอร์สเสริมสภาพคล่อง ยื่นกู้ได้วงเงินไม่เกินรายละ 20 ล้านบาท ดอกเบี้ยคงที่ 2% 2ปี ระยะเวลากู้เงินสูงสุดไม่เกิน 10 ปี โดย บสย. พร้อมเป็นผู้ค้ำประกันสินเชื่อ ตั้งเป้า 4,000 ราย วงเงิน 10,000 ล้านบาท #เพื่ออุตสาหกรรมไทยยั่งยืน









ออมสิน จับมือ สำนักสลากกินแบ่งรัฐบาล รับขึ้นเงินรางวัลสลากฯ เริ่มงวดแรก 16 พ.ค. นี้


ธนาคารออมสิน ร่วมกับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ให้บริการรับขึ้นเงินรางวัลสลากฯ ให้กับประชาชนและผู้รับซื้อ ทุกรางวัล ยกเว้นรางวัลที่ 1 คิดค่าธรรมเนียมร้อยละ 1 ผ่านธนาคารออมสิน 1,062 สาขาทั่วประเทศ เริ่มงวดแรก 16 พฤษภาคมนี้ 

วันนี้ (27 มีนาคม 2563) ณ ธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ่ นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะประธานกรรมการธนาคารออมสิน และประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงการให้บริการขึ้นรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล ระหว่าง ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน และ พ.ต.อ.บุญส่ง จันทรีศรี ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งธนาคารออมสินจะเป็นตัวแทนในการให้บริการรับขึ้นเงินรางวัล ผ่านธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มทางเลือกและอำนวยความสะดวกให้กับผู้ถูกรางวัลสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
 ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารฯ พร้อมเป็นตัวแทนสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ในการให้บริการรับขึ้นเงินรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล ผ่านช่องทางธนาคารออมสินสาขาทั่วประเทศ ที่มีอยู่กว่า 1,062 แห่ง เพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชนผู้ถูกรางวัล และผู้รับซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล/สลากการกุศล สามารถขึ้นเงินรางวัลได้ง่าย และสะดวกสบายขึ้น นอกจากนี้ยังมีความปลอดภัยสูง เพราะสามารถฝากเงินเข้าบัญชี เพื่อทำธุรกรรมอื่นๆ ของธนาคารได้ทันที รวมถึงสาขาของธนาคารออมสินทุกแห่ง สามารถตรวจสอบสลากฯ ด้วยเครื่องมืออุปกรณ์ที่ทันสมัยได้มาตรฐาน เพื่อป้องกันปัญหาการปลอมแปลง


ทั้งนี้ การขอรับขึ้นเงินรางวัล ผู้ถูกรางวัลจะต้องนำสลากกินแบ่งรัฐบาล/สลากการกุศล ฉบับจริง มาติดต่อด้วยตนเองที่ธนาคารออมสินสาขา โดยธนาคารจะรับขึ้นเงินทุกรางวัล ยกเว้นรางวัลที่ 1 และรับเฉพาะสลากงวดปัจจุบันเท่านั้น ซึ่งสามารถขึ้นรางวัลได้ตั้งแต่เวลา 18.00 น. ของวันออกรางวัลในงวดนั้น ไปจนถึงเวลา 12.00 น. ของวันออกรางวัลในงวดถัดไป โดยจะคิดค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละ 1 ของมูลค่ารางวัลแต่ละรางวัล และค่าอากรแสตมป์ ร้อยละ 0.5 – 1.0 ของมูลค่ารางวัล ตามประเภทของสลาก รวมเสียค่าธรรมเนียมร้อยละ 1.5 – 2.0 ของมูลค่ารางวัล ซึ่งจะเริ่มเปิดให้บริการขึ้นรางวัลสลากฯ ได้ตั้งแต่งวดแรกวันที่ 16 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดตามได้ตามสื่อประชาสัมพันธ์ของธนาคารออมสินทุกช่องทาง ได้แก่ Website : www.gsb.or.th, Line Official, Facebook : GSB Society หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ
ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ธนาคารออมสิน Call Center โทร.1115 


พ.ต.อ.บุญส่ง จันทรีศรี ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยว่า ปัจจุบัน สำนักงานสลากฯ มีตัวแทนให้บริการรับขึ้นเงินรางวัล ผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารกรุงไทย จากเดิมสามารถขึ้นเงินรางวัลได้ที่สำนักงานสลากฯ ถนนสนามบินน้ำ จังหวัดนนทบุรี เพียงแห่งเดียว หรือตามแผงลอตเตอรี่และร้านค้าบางแห่ง ซึ่งคิดค่าธรรมเนียมสูงถึงร้อยละ 2-5 สำหรับความร่วมมือนี้ในครั้งนี้ จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ถูกรางวัลมีทางเลือกมากขึ้น ลดค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าธรรมเนียมที่ถูกเรียกเก็บเมื่อนำสลากไปขึ้นเงินรางวัลที่แผงลอตเตอรี่หรือร้านค้าบางแห่ง และสามารถช่วยบรรเทาปัญหาการนำสลากฯปลอมมาขึ้นเงินรางวัลได้อีกทางหนึ่งด้วย เนื่องจากสาขาของธนาคารออมสินมีมาตรฐานในการตรวจสอบสลากฯที่ดี มีเครื่องมืออุปกรณ์ที่ทันสมัย และมีเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการอบรมเป็นอย่างดี

วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2563

เครือ MBK จับมือพันธมิตรร้านค้าอำนวยความสะดวกคนกรุง เปิดให้บริการซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านยา ร้านอาหาร ธนาคาร

ศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ พาราไดซ์ พาร์ค พาราไดซ์ เพลส และ เดอะไนน์ เซ็นเตอร์ พระราม 9 ร่วมกับร้านค้าที่ได้รับการยกเว้นตามประกาศกรุงเทพมหานครเปิดให้บริการ อำนวยความสะดวกลูกค้าเข้าถึงบริการและสินค้าในชีวิตประจำวัน พร้อมเพิ่มช่องทางสะสมคะแนนเอ็ม บี เค แอปพลิเคชัน ง่ายขึ้น เอ็ม บี เค    เซ็นเตอร์-เดอะไนน์ เซ็นเตอร์ พระราม 9 ยกเลิกค่าจอดรถ 


ศูนย์การค้าในเครือเอ็ม บี เค ประกอบด้วย ศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ พาราไดซ์ พาร์ค พาราไดซ์ เพลส และ เดอะไนน์ เซ็นเตอร์ พระราม 9 เปิดให้บริการร้านค้าที่ได้รับการยกเว้นตามประกาศของกรุงเทพมหานคร ได้แก่ ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารที่เปิดให้บริการเฉพาะสั่งนำกลับไปบริโภคที่อื่น (Take Away) หรือ บริการส่ง (Delivery) สินค้าเบ็ดเตล็ดที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และ ธนาคาร โดยร่วมกับบรรดาผู้ประกอบการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการเข้าถึงสินค้าและบริการในชีวิตประจำวัน พร้อมเพิ่มช่องทางการสะสมคะแนนเอ็ม บี เค แอปพลิเคชัน ให้ใช้งานง่ายขึ้น และ สามารถทำได้ด้วยตัวเองผ่านเมนูเฮลพ์ แชท (Help chat)ในแอปฯ


จากแนวทางดังกล่าว ศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ ได้ดำเนินการยกเลิกค่าจอดรถ และจัดสถานที่จอดรถไว้รองรับผู้ให้บริการฟู้ด เดลิเวอรี่ (Food Delivery) ผ่านแอปพลิเคชัน โดยจุดจอดรับส่งเดลิเวอรี่และบริการอื่น ๆ อยู่บริเวณจุดบริการรถแท็กซี่ทางออกชั้น G ด้านหลังอาคาร ,ด้านหน้าเซเว่น-อีเลฟเว่น ฝั่งโรงแรมปทุมวัน และจุดจอดบริเวณทางเข้าโตคิว ถนนพระราม 1

ส่วนพาราไดซ์ พาร์ค สามารถจอดรถมอเตอร์ไซต์ ตรงซอยศรีนครินทร์ 57 ส่วนเดอะไนน์เซ็นเตอร์ พระราม 9 สามารถจอดรับส่งเดลิเวอรี่บริเวณพื้นที่หน้าหลักทรัพย์กสิกรไทย ซึ่งมีการยกเลิกค่าจอดรถเช่นเดียวกัน


โดยซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร และ ธนาคาร ในศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ ที่เปิดให้บริการบริเวณชั้น G ชั้น 4 และทางเชื่อมอะลาอาร์ท มีดังนี้ กาแฟมงคล ,เคเอฟซี ,แชปเตอร์ วัน ,เซเว่น อีเลฟเว่น ,เดอะ คอฟฟี่ บีน แอนด์     ทีลีฟ ,ท็อปส์ มาร์เก็ต ,บู๊ทส์ ,พาคามาร่า คอฟฟี่ โรสเตอร์ ,แฟมิลี่ มาร์ท ,มิลค์ พลัส ,แมคโดนัลด์ ราเมน ,ฮองมิน ,สตาร์บัคส์ ,ฮะจิบัง ราเมน ส่วนบริการทางการเงิน ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารทหารไทย ธนาคารธนชาต ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ และธนาคารออมสิน

สำหรับศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค มีร้านเปิดให้บริการดังนี้ ร้าน @เยาวราช ,ก๋วยเตี๋ยวไก่แม่ศรีเรือน ,คริสปี้ ครีม ,คาเฟ่ เดอตู ,คาเฟ่ อเมซอน ,เคฟิช ,เคเอฟซี ,โคโค่ มัม ,ชาบูชิ ,ชาพะยอม ,ซาลาเปาวราภรณ์ ,ซีเคร็ท เรซิพี , ดังกิ้นโดนัท ,เดลิซ เดอ ปาคริ ,เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ,แดรี่ควีน ,บองชูร์ ,บาสกิ้นร้อบบิ้นส์ ,เบรด ทอล์ค ,เบอร์เกอร์ คิงส์ ,     ใบเมี่ยง ,เป็งกี่ ,ฟุกุมัทชะ ,ฟูจิ ,มอมาร์ส บับเบิ้ลที บาร์ ,มาดาม มาร์โก้ ,มิสเตอร์เชค ,ยาโยอิ ,สควีซ บาย ทิปโก้ ,สบายใจ , สตาร์บัคส์ ,อานตี้ แอนส์ ,อืมม!..มิลค์ ,เอ็น แอนด์ บี แพนเค้ก ,เอ็มเคสุกี้ ,โอโตยะ ,โอบองแปง ,ฮะจิบัง ราเมน

กลุ่มตลาด ซูเปอร์มาร์เก็ต ได้แก่ เสรี มาร์เก็ต ,วิลล่า มาร์เก็ต ร้านเบ็ดเตล็ด สุขภาพ ความงาม ได้แก่ คิงส์คอง เพ็ทช็อป ,ดอยคำ ,เดอะเพ็ท ซาฟารี , ตำรับไทย ,บู๊ทส์ ,เพ็ทซ์ แพลเนท ,มนูญ เพ็ทช็อป ,เมล็ดข้าว ,เลมอน ฟาร์ม ,แล็ป ฟาร์มาซี ,วัตสัน ,  เฮลธิแม็กซ์

สถาบันการเงินได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกสิกรไทย  ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารซิตี้แบงค์ ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารทหารไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย ธนาคารธนชาต ธนาคารยูโอบี ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย สำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 16 สำนักงานสรรพากรสาขาประเวศ ชั้น 4 ศูนย์การค้าพาราไดซ์ เพลส มีร้านเปิดบริการ ดังนี้ เซเว่น อีเลฟเว่น , มูมูฉะ ,สตาร์บัคส์ ชั้น 1 และ  พาราไดซ์ ฟู้ด อาเขต ชั้น 2

ด้าน ศูนย์การค้าเดอะไนน์ เซ็นเตอร์พระราม 9  มีซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร ร้านยา และธนาคาร ที่ยังคงเปิดให้บริการซื้อกลับบ้าน และ เดลิเวอรี่ ดังนี้ ตลาดเสรี มาร์เก็ต, ก๋วยเตี๋ยวเรือกลางกรุง ,คาโบฉะ ซูชิ ,ซับเวย์ ,โซลชอน ,ดังกิ้น โดนัท ,โดมิโน่ พิซซ่า ,ที ทอล์ค ,บาซารากะ ราเมน ,ฟาร์ม ดีไซน์ ,แมกซ์แวลู ,แมคโดนัลด์ ,ยู แอนด์ ไอ สุกี้ บุฟเฟ่ต์ , เรือนแม่หลุย ,สตาร์บัคส์ ,แสนแซ่บ ,อารมย์ฟรุตตี้ ,โอ บอง แปง ,เอส 33 บายสิงห์ ,เอส แอนด์ พี ,เฮลท์ตี้ แพลนเน็ต นอกจากนี้ยังมีร้านยา คลินิกเวชกรรม และ ร้านจำหน่ายสิ่งของจำเป็นต่อการดำรงชีวิตเปิดให้บริการ ได้แก่ ซิตี้ คลินิก ,บูทส์ ,ฟาร์แมกซ์ สถาบันการเงินที่เปิดให้บริการทำธุรกรรมต่างๆ  ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารทหารไทย ธนาคารออมสิน และ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย เปิดให้บริการทุก ๆ วันอีกด้วย


อย่างไรก็ตามร้านอาหารและเครื่องดื่มได้ปฏิบัติตามประกาศของกรุงเทพมหานครในการปิดพื้นที่รับประทานอาหารในร้าน กำหนดระยะห่างระหว่างเคาน์เตอร์สั่งอาหาร รวมถึงบริการส่ง เพื่อร่วมรณรงค์ให้ประชาชนอยู่บ้าน และลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อและติดเชื้อ ขณะที่ศูนย์การค้าในเครือเอ็ม บี เค ยังคงดำเนินมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอย่างต่อเนื่อง อาทิ การตรวจคัดกรองก่อนเข้าศูนย์ฯด้วยเครื่องวัดอุณหภูมิร่างกายแบบอินฟราเรด ,ให้บริการเจลล้างมือสำหรับลูกค้าในบริเวณทางเข้า-ออก ,เช็ดทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อบริเวณจุดสัมผัสสาธารณะ อาทิ ปุ่มกดลิฟท์ที่จับประตูห้องน้ำ ที่จับประตูเข้า-ออก เป็นต้น ทำความสะอาดบัตรจอดรถของศูนย์ฯ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เตรียมความพร้อมด้านบริการฉุกเฉินในการนำส่งโรงพยาบาล เมื่อตรวจพบหรือมีการร้องขอ ทั้งนี้ ลูกค้าของศูนย์การค้าในเครือเอ็ม บี เค สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่เอ็ม บี เค คอนแทคท์ เซ็นเตอร์ 1285 ระหว่างเวลา 08.30 – 22.00 น.

สาวกราโดเลิฟเวอร์ไม่ต้องคอยอีกต่อไป

เปิดตัว ราโด กัปตัน คุ้ก บรอนซ์ (RADO Captain Cook Bronze) 
หลอมรวมระหว่างความคลาสสิคและโมเดิร์นอย่างลงตัว

ไม่ปล่อยให้สาวกราโดเลิฟเวอร์ต้องคอยอีกต่อไป เมื่อ ราโด (RADO) ส่งตรงเรือนเวลา
 Rado Captain Cook รุ่นใหม่จัดจำหน่ายสู่ประเทศไทย ด้วยรูปทรงอันไร้ที่ติและรูปลักษณ์ที่ สามารถดึงดูดความสนใจของ  Rado Captain Cook รุ่นใหม่ตัวเรือนผลิตจากบรอนซ์ และไฮเทคเซรามิก มาพร้อมมอบประสิทธิภาพอันถูกใจ และรูปลักษณ์ที่แข็งแกร่ง รูปทรงเท่ห์ ผสานรวมวัสดุเก่าแก่ที่สุดที่มนุษย์เคยสร้างเข้าไว้กับวัสดุ ล้ำสมัย ซึ่งเป็นแนวทางอันชัดเจนของ ราโด แสดงถึงความพยายามอย่างเต็มความสามารถ และคุณสามารถสัมผัสได้!



จุดเด่นอันน่าประทับใจของ Captain Cook นำโทนสีเขียวชอุ่มและสีของบรอนซ์ ซึ่งเป็นสี ที่มีความเป็นธรรมชาติ และสร้างความ 'โดดเด่น’ ให้ซึ่งกันและกัน ถือเป็นความสำเร็จแห่งการผสมผสานอย่างแท้จริง         
โดยได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ยืนหยัดได้แม้ภายใต้การทดสอบของกาลเวลาและเหนือกว่าปัจจุบัน  ตัวเรือนสมบูรณ์แบบ จากการผสมผสานตัวเรือนบรอนซ์ คริสตัลแซฟไฟร์ทรงสี่เหลี่ยม ขอบหน้าปัด สีบรอนซ์ แทรกด้วยไฮเทคเซรามิกและด้านหลังตัวเรือนที่ทำจากไทเทเนียมพร้อมกับคริสตัลแซฟไฟร์ และสายนาฬิกาหนังสีเขียวเข้มช่วยเติมเต็มความสมบูรณ์แบบให้กับชิ้นงานที่ไร้ที่ติ มาพร้อมกับกลไกการเดิน ETA C07 คุณภาพสูงจากสวิส สำรองพลังงานนานถึง 80 ชั่วโมง

ความโบราณและสมัยใหม่ วินเทจและร่วมสมัย ดั้งเดิมและนวัตกรรม ยั่งยืนและพัฒนา คำจำกัดความเหล่านี้ทำให้ Rado Captain Cook Bronze บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ ความแตกต่างอย่างแท้จริง พร้อมทั้งการออกแบบ ให้คงความงดงามตลอดอายุการใช้งาน ถือเป็นนาฬิกาคอลเลคชั่นที่ได้รับความนิยมอย่างสูงสร้างตำนานแห่งยุคด้วยความงดงามของบรอนซ์ซึ่งจะเปลี่ยนสีไปตามกาลเวลา และการใช้งาน เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้  แต่ละเรือน ตัดกับไฮเทคเซรามิคสีเขียวซึ่งจะเห็นความแตกต่างที่สัมผัสได้
 

• ราโด กัปตัน คุ้ก บรอนซ์ (R32504315) สนนราคา 86,100.00 บาท

สัมผัสเรือนเวลาอันโดดเด่นจากคอลเลคชั่นล่าสุดได้แล้ววันนี้ ที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป
คิงพาวเวอร์ ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ และ Shopee



สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ โทร. 02-610-0200 


เกี่ยวกับRado
Rado ได้รับการขนานนามว่าเป็น "ผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุ" ที่มีแนวทางการปฏิวัติการผลิตนาฬิกาแบบดั้งเดิม อีกทั้งยังเป็นผู้นำในด้านการผลิตนาฬิกาด้วยการนำเอาทั้งไฮเทคเซรามิก ไฮเทคเซรามิกที่มีน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ ไฮเทคเซรามิกที่มีสีสันสดใส และ CeramosTM มาใช้ก่อนใคร อีกทั้งยังมุ่งเน้นเรื่องการออกแบบที่ Rado เป็นผู้บุกเบิกและผู้นำมาโดยตลอด ในเรื่องการสร้างมาตรฐานและการยกระดับมาตรฐาน อีกทั้งยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบที่มีรางวัลอันทรงเกียรติระดับนานาชาติมากมาย และเป็นผู้ผลิตที่มีความคิดก้าวไกลมากที่สุดในอุตสาหกรรมนาฬิกาในปัจจุบัน

ดิ เอมเมอรัลด์ ส่งตรงความอร่อยถึงบ้าน “เดลิเวอรี่-เสิร์ฟความอร่อยถึงที่”


โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ จัดความอร่อยของทุกห้องอาหารบริการเสิร์ฟถึงที่บ้านกับ “Go Quik”  ไม่ว่าจะเป็นอาหารนานาชาติ  ไทย จีน ญี่ปุ่น ฯลฯ เริ่มต้นเพียง 79 บาทเท่านั้น อาทิ ผัดไทยโบราณกุ้งทอดซอสมะขาม ข้าวขาหมู  ก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้น้ำดำหมูนุ่ม ติ่มซำ ข้าวหน้าเนื้อวากิว ซาชิมิเซ็ต ชานมไข่มุก ฯลฯ บริการระหว่างเวลา 11.00 - 20.00 น. โทร. 0-2290-0039 หรือ Line : Coffeeshop8413

 โปรโมชั่นพิเศษ!!! ส่งฟรี เมื่อสั่ง 2 กล่องขึ้นไปภายในรัศมี 5 กม. และสั่ง 5 กล่องฟรี 1 กล่อง



ททท.ขานรับ Social Distancing จัดแพคเกจห้องพักราคาพิเศษ สนับสนุนการทำงาน Work from Home


ททท.ร่วมสนับสนุนการทำ Social Distancing จับมือกับสมาคมโรงแรมไทย, สมาคมหอการค้าไทย และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย จัดโครงการ Amazing Distancing @Hotel นำเสนอแพ็กเกจห้องพักราคาพิเศษ ที่มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครัน เพื่อตอบรับความต้องการของคนที่ต้องการที่พักที่มีความเป็นส่วนตัว สนับสนุนการทำงานแบบ Work from Home รวมถึงการเป็นที่พักในระยะสั้นๆ ระหว่างที่ยังต้องออกมานอกบ้านเพื่อทำงาน หรือบางท่านที่กังวลว่าตนเองอาจจะเสี่ยงที่จะพาหะแพร่เชื้อให้กับคนที่บ้าน

 อีกทั้งโครงการนี้ยังเป็นการสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการโรงแรมไทยในช่วงที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจากโรคระบาด และช่วยให้พนักงานในธุรกิจโรงแรมมีงานและมีรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยผู้ที่สนใจแพ็กเกจพิเศษนี้สามารถเข้าชมรายละเอียดได้ทาง www.tourismthailand.org/tourismdepartmentstore
#AmazingDistancingatHotel #SocialDistancing #อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ

ข่าวประชาสัมพันธ์

วิวัฒนาการของแบรนด์ไทยสู่ตลาดโลก ในงาน STYLE Bangkok 2024

เตรียมตื่นตาตื่นใจกับหลากหลายแบรนด์ไทยที่ไปผงาดในเวทีตลาดโลก ในงาน STYLE Bangkok 2024 มหกรรมแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์ชั้นนำของเอเชีย ระหว่างวันที่...

โวยวายดอทคอม