วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2565

แนะนำสุดยอดน้ำสลัดจาก DIVA CAFÉ & BISTRO

ร้านอาหาร Diva Cafe’ & Bistro ตั้งอยู่ในย่านดัง RCA ที่มีบริการครบเครื่องทั้งเครื่องดื่มน่าลอง เมนูอาหารรสเลิศ และเอนเตอร์เทนในที่เดียวกัน แถมรีโนเวทร้านเพื่อสร้างสีสันใหม่ ให้ทุกท่านได้เข้ามาดื่มด่ำบรรยากาศ รวมไปถึงการเปิดให้บริการเดลิเวอรี่ ส่งมอบอาหารอร่อยที่ทำด้วยใจ แบ่งปันด้วยความรัก ในรูปแบบอาหารใหม่ โฮมเมดคูซีน ล่าสุด เสริมจุดเด่นให้ถูกใจคนไทยมากขึ้นด้วยอาหารประเภทยำ จากฝีมือ เชฟอรรถพล สุทธิประภา และบริหารงานโดย คุณดวงตวัน เตชวิวัฒน์วาณิชย์ (แจง) แต่จากสถานการณ์ของ COVID-19 ทำให้เราเห็นถึงปรากฏการณ์ ที่คนทั้งโลกหันมาสนใจเรื่องการดูแลสุขภาพมากขึ้น

ร้านอาหาร Diva Cafe’ & Bistro ตั้งอยู่ในย่านดัง RCA ที่มีบริการครบเครื่องทั้งเครื่องดื่มน่าลอง เมนูอาหารรสเลิศ และเอนเตอร์เทนในที่เดียวกัน แถมรีโนเวทร้านเพื่อสร้างสีสันใหม่ ให้ทุกท่านได้เข้ามาดื่มด่ำบรรยากาศ รวมไปถึงการเปิดให้บริการเดลิเวอรี่ ส่งมอบอาหารอร่อยที่ทำด้วยใจ แบ่งปันด้วยความรัก ในรูปแบบอาหารใหม่ โฮมเมดคูซีน ล่าสุด เสริมจุดเด่นให้ถูกใจคนไทยมากขึ้นด้วยอาหารประเภทยำ จากฝีมือ เชฟอรรถพล สุทธิประภา และบริหารงานโดย คุณดวงตวัน เตชวิวัฒน์วาณิชย์ (แจง) แต่จากสถานการณ์ของ COVID-19 ทำให้เราเห็นถึงปรากฏการณ์ ที่คนทั้งโลกหันมาสนใจเรื่องการดูแลสุขภาพมากขึ้น

น้ำสลัดงาคุณภาพพรีเมี่ยม








DIVA CAFÉ & BISTRO เมนูเสริมสุขภาพสไตล์โฮมเมดคูซีน คัดสรรวัตถุดิบคุณภาพดี เน้นความสดใหม่และสะอา ราคาคุ้มค่า ทำให้มีลูกค้าติดใจในความอร่อย แวะเวียนมาเป็นลูกค้าประจำเยอะมาก โดยเฉพาะคนดัง ทั้งแวดวงการเมืองและแวดวงบันเทิง

ที่นี่อาหารอร่อย เจ้าของร้านร้องเพลงให้ฟังด้วยนะบรรยากาศดี ส่วนเมนูแนะนำยอดนิยม ที่โดดเด่น เช่น สลัดดีว่า สลัดไส้กรอก สลัดซี่โครงหมูบาร์บีคิวชื่อดัง ขาหมูเยอรมัน ซี่โครงหมูบาร์บีคิว หรือ น้ำพริกหมูชะมวง ข้าวผัดกิมจิ เมนูอาหารทั้งหมดในร้าน มีเมนูอาหารกว่า 100 เมนู ให้เลือกลิ้มลองได้ไม่รู้จบ รวมถึงอาหารจานเดียวของทอดจานเด็ดต่างๆ มากมาย เมนูแนะนำที่ไม่ควรพลาด อาทิ เช่น ข้าวผัดน้ำพริกมันกุ้ง ,ก๋วยเตี๋ยวหลอดโบราณ ,ยำไข่สามยาม , สปาเก็ตตี้ปลาเค็ม เมนูขายดิบขายดีในช่วงที่ผ่านมา สปาเกตตีสไตล์อิตาเลียนแท้ , ขาหมูเยอรมัน ขาหมูเยอรมัน สูตรของดีว่า โด่งดังในย่าน RCA ให้บริการความอร่อยตลอดทั้งปี เพราะมีกรรมวิธีการเก็บให้สดใหม่อยู่เสมอ 


DIVA CAFÉ & BISTRO

Diva Cafe' & Bistro

เลขที่ 23/51 ซอยศูนย์วิจัย แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310

เปิดบริการตั้งแต่เวลา 12.00-20.00 น./วันศุกร์-วันเสาร์เปิด ถึง 21.30 น.

สนใจสอบถามรายละเอียดหรือสำรองที่นั่งโทร. 096-935-9565

วันพุธที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2565

พม.เริ่มแล้ว เปิดรับฟังความคิดเห็น ร่าง พ.ร.บ.การดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร พ.ศ....

วันพุธที่ 26 มกราคม 2565 เวลา 13.30 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้มอบแนวทางการรับฟังความคิดเห็น (ร่าง) พระราชบัญญัติการดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร พ.ศ.... แก่หน่วยงาน พม. ทั่วประเทศ ผ่านระบบ Zoom Cloud Meeting 

 นายจุติ กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับ พรบ.ดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร พ.ศ....
โดยมอบหมายให้กระทรวง พม. เปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจาก พรบ.ฉบับนี้ ซึ่งตนได้กำชับหน่วยงาน พม. ทั่วประเทศ จัดรับฟังความคิดเห็น โดยเน้น “ฟังมากกว่าพูด” บันทึกทุกความคิดเห็น ไม่มีการชี้นำโดยเด็ดขาด 

นอกจากนี้ พม. ได้เปิดช่องทางเพื่อรับฟังความคิดเห็นไว้ ดังนี้ 

1) ผ่าน 3 เว็บไซต์หลัก ได้แก่ www.law.go.th ระบบกลางทางกฎหมาย  www.m-society.go.th กระทรวง พม. และ www.dsdw.go.th กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ

2) ผ่านไปรษณีย์ หรือ อีเมลล์ npo.draff@gmail.com

3) การประชุมรับฟังความคิดเห็นผ่านระบบ Zoom (ภายใน 1-20 กุมภาพันธ์ 2565) ได้แก่ อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เครือข่าย NGOs องค์กรสาธารณประโยชน์  เครือข่ายเด็กและเยาวชน คนพิการ ผู้สูงอายุ สตรี ครอบครัว และเครือข่ายสภาองค์กรชุมชน

4) การรับฟังความคิดเห็นระดับพื้นที่ โดยสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดร่วมกับเครือข่าย 

สำหรับการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการตรากฎหมายในครั้งนี้  ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน เป็นระบบ และเปิดเผยผลการรับฟังความคิดเห็นและผลการวิเคราะห์แก่ประชาชนและองค์กรที่เกี่ยวข้องอย่างโปร่งใส ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป

วันจันทร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2565

ชะลอโครงการสร้างอ่างเก็บน้ำบริเวณผืนป่ามรดกโลกดงพญาเย็น–เขาใหญ่ทั้ง 7โครงการออกไปก่อน

คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก สั่งให้ชะลอโครงการสร้างอ่างเก็บน้ำบริเวณผืนป่ามรดกโลกดงพญาเย็น–เขาใหญ่ทั้ง 7 โครงการออกไปก่อน และให้จัดทำประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) คาดว่าจะใช้เวลา​ 2​ ปี 

นางสุนีย์​ ศักดิ์เสือ​ ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ​ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช​ เปิดเผย igreen ว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้เห็นชอบให้ชะลอโครงการสร้างอ่างเก็บน้ำบริเวณผืนป่ามรดกโลกดงพญาเย็น–เขาใหญ่ทั้งหมดออกไปก่อน และให้กรมชลประทานในฐานะเจ้าของโครงการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment-SEA) ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ​ 2​ ปี 




สำหรับขั้นตอนและองค์ประกอบการจัดทำ SEA อยู่ระหว่างการกำหนดขอบเขตและรายละเอียดในการศึกษาโดยจะบูรณาการกับหลายหน่วยงาน เช่น กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และกรมอุทยานฯ ตลอดจนภาคประชาชน โดยเน้นการรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ในการศึกษานอกจากเรื่องผลกระทบในแต่ละด้านแล้ว คณกรรมการชุดดังกล่าวจะต้องเสนอทางเลือกด้วย เมื่อแล้วเสร็จก็จะนำเสนอให้คณะอนุกรรมการมรดกโลกทางธรรมชาติพิจารณาเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกต่อไป

นอกจากนี้ นางสุนีย์​ กล่าวระหว่างร่วมเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้ภายใต้หัวข้อ “เขาใหญ่ไปทางไหนดี” ณ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เนื่องในโอกาสครบรอบ 60 ปี อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เมื่อวันที่ 22​ มกราคม 2565 ตอนหนึ่งว่า มติที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก​ สมัยสามัญ ครั้งที่ 44 ได้แสดงข้อกังวลภาวะอันตรายที่อาจจะทำให้เขาใหญ่เสี่ยงต่อการหลุดจากมรดกโลก​ 

ยกตัวอย่างเช่น โครงการพัฒนาแหล่งน้ำ​ โดยเฉพาะพื้นที่ป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่​ ลุ่มน้ำปราจีน​ บางปะกง​ ปลายลุ่มน้ำมูล​ ซึ่งมีข้อเสนอให้พัฒนาแหล่งน้ำ​ 7-8 โครงการรอบเขาใหญ่​ ทั้งใสน้อย-ใสใหญ่​ คลองมะเดื่อ​ คลองพญาธาร​ ประเด็นนี้คณะกรรมการมรดกโลกมองว่าเป็นภัยคุกคาม​ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อคุณค่าในพื้นที่


ประเด็นต่อมาคือ การลักลอบตัดไม้พะยูง​ซึ่งมีชาวต่างชาติลักลอบเข้ามาตัดไม้อย่างต่อเนื่อง​ และที่ผ่านมากรมอุทยานฯ ได้ดำเนินมาตรการอย่างเข้มข้นมาโดยตลอด​ โดยเจ้าหน้าที่เขาใหญ่มีการเดินลาดตระเวนครอบคลุมพื้นที่ถึง​ 70-80% และหัวหน้าอุทยานฯ​ ร่วมเดินลาดตระเวนกับลูกน้องเพื่อเป็นขวัญกำลังใจด้วย

เรื่องที่สามคือ​ กฎหมายใหม่​ที่คณะกรรมการมรดกโลกมองว่าอาจส่งผลกระทบด้านลบต่อพื้นที่หรือไม่​ และสุดท้ายคือประเด็นการท่องเที่ยว​ เนื่องจากเขาใหญ่มีการกระจุกตัวการท่องเที่ยวอย่างหนาแน่น​ จึงอาจต้องบริหารจัดการเพื่อกระจายการท่องเที่ยวไปในอุทยานแห่งชาติรอบข้างด้วย

อย่างไรก็ตาม การประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ 44 ที่ประเทศจีน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16 - 31 กรกฎาคม 2564 โดยได้มีมติให้ไทยดำเนินการเกี่ยวกับแหล่งมรดกทางธรรมชาติดงพญาเย็น-เขาใหญ่ 6 ข้อ ดังนี้

1.ให้กำหนดนิยามในการบ่งชี้แผนปฏิบัติการ เพื่อให้มั่นใจว่ามีวิธีการตรวจสอบที่เพียงพอในการวัดประสิทธิผลในการดำเนินการตามคำแนะนำขอคณะผู้ติดตามตรวจสอบ (Reactive Monitoring mission) เมื่อปี 2559

2. ให้ดำเนินการติดตามผลอย่างใกล้ชิดว่าการออกกฎหมายใหม่ส่งผลต่อความครบถ้วนสมบูรณ์ของแหล่งอย่างไร และให้แน่ใจว่ามีการใช้มาตรการที่เหมาะสมในการป้องกันการบุกรุกพื้นที่แหล่งอย่างผิดกฎหมาย

3. ให้ดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อให้มั่นใจว่ามีมาตรการบรรเทาผลกระทบและการติดตามผลกระทบจากการดำเนินการภายหลังการก่อสร้างเขื่อนห้วยโสมงและทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 304 เพื่อลดผลกระทบต่อคุณค่าความโดดเด่นอันเป็นสากลของเหล่ง

4. ยินดีที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ยุติการขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 348 และหาทางเลือกอื่นเพื่อทบทวนความจำเป็นและเหมาะสมในการก่อสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำในพื้นที่แหล่ง และการยกเลิกโครงการก่อสร้างเขื่อนลำพระยาธารเพื่อลดผลกระทบทางลบต้อคุณค่าความโดดเด่นอันเป็นสากลของแหล่ง และได้รับรายงานว่ามีการพัฒนาโครงการเขื่อนหลายโครงการในพื้นที่และบริเวณใกล้เคียง จึงขอย้ำให้ยกเลิกแผนการก่อสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำภายในพื้นที่แหล่งอย่างถาวร

5. ให้ดำเนินการประเมินสิ่งแวดล้อมเชิงกลยุทธ์ (SEA) สำหรับพื้นที่ลุ่มน้ำ รวมถึงแหล่งมรดกโลกเพื่อรายงานแผนการจัดการและแผนการพัฒนาในอนาคตของพื้นที่ลุ่มน้ำ และสำหรับข้อเสนอโครงการก่อสร้างเขื่อนโดยรอบพื้นที่แหล่งมรดกโลกที่อาจส่งผลกระทบต่อคณะค่าความโดดเด่นอันเป็นสากลของแหล่ง ให้ระงับการดำเนินการจนกว่าการประเมินสิ่งแวดล้อมเชิงกลยุทธ์จะแล้วเสร็จ และได้รับการตรวจสอบโดยศูนย์มรดกโลกและสหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์ (IUCN)

6. ให้จัดส่งรายงานสถานภาพการอนุรักษ์แหล่งมรดกโลกพื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น – เขาใหญ่ และรายงานความก้าวหน้าในการดำเนินงานภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการมรดกโลกพิจารณาในการประชุมสมัยสามัญ ครั้งที่ 45 ในปี 2565

ทั้งนี้ โครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำหรือเขื่อนในพื้นที่ป่ามรดกโลกดงพญาเย็น-เขาใหญ่ โดยกรมชลประทานจำนวน 7 แห่ง ซึ่งเข้าข่ายเสี่ยงอันตรายต่อความเป็นมรดกโลก ประกอบด้วย ดังนี้

1. โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยสะโตน จ.สระแก้ว พื้นที่รวม 4,753 ไร่
2. โครงการอ่างเก็บน้ำคลองมะเดื่อ จ.นครนายก พื้นที่รวม 1,853 ไร่
3. โครงการอ่างเก็บน้ำใสน้อย-ใสใหญ่ มีพื้นที่ประมาณ 8,500 ไร่
4.โครงการอ่างเก็บน้ำลำพระยาธาร มีพื้นที่ประมาณ 2,800 ไร่
5. โครงการอ่างเก็บน้ำคลองวังมืด มีพื้นที่ประมาณ 2,400 ไร่
6. โครงการอ่างเก็บน้ำคลองบ้านนา มีพื้นที่ประมาณ 1,419 ไร่ และ
7. โครงการอ่างเก็บน้ำคลองหนองแก้ว พื้นที่ประมาณ 133 ล้าน ลบ.ม. 

ทั้งนี้ หลังจากกรมชลประทานพยายามผลักดันโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำบริเวณโดยรอบผืนป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ มูลนิธิสืบนาคะเสถียรและเครือข่ายองค์กรอนุรักษ์ได้คัดค้านการผลักดันโครงการมาเป็นระยะเนื่องจากเห็นว่าจะส่งผลกระทบต่อความเป็นมรดกโลก 


#ดงพญาเย็นเขาใหญ่ #มรดกโลกทางธรรมชาติ #คัดค้านสร้างเขื่อนเขาใหญ่

วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2565

ประกาศผลภาพวาด “หลวงปู่กับสมาธิและสันติภาพในมุมมองของฉัน” กิจกรรมน้อมรำลึก 152 ปีชาตกาล หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2565 ที่ผ่านมา : มูลนิธิรักษ์ตับ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมกับ สมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยศิลปากร มูลนิธิรักษ์เยาวชน สมาคมสภาพุทธศาสนิกสัมพันธ์ และสถานีโทรทัศน์ BMCTV ประกาศผลการประกวดภาพวาด หัวข้อ“หลวงปู่กับสมาธิและสันติภาพในมุมมองของฉัน”  กิจกรรมน้อมรำลึก 152 ปีชาตกาล หลวงมั่น ภูริทัตโต ณ ธรรมสถานหลวงวิเศษสาครฤทธิ์ (สถานีโทรทัศน์ BMC TV)  ซอยจรัญสนิทวงศ์ 22

พระอาทิตย์ อธิปุญโญ (วงศ์แสนสุข) ประธานจัดงานและผู้ประสานงาน 152 ปีชาตกาลหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เล่าถึงที่มาของการจัดงาน ว่า “เราได้ทำกิจกรรมนี้มาอย่างต่อเนื่องติดต่อกันมาตั้งแต่เมื่อครั้งครบ 149 ปี จนถึง 151 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งได้ผลักดันทั้งเรื่อง UNESCO บุคคลสำคัญของโลก สาขาสันติภาพ ปี 2563-2564 ซึ่งก่อให้เกิดกระแสตอบรับที่ดีต่อสังคมมาก

หลังจากที่อาจารย์ได้รับรางวัล ค่าของแผ่นดิน จึงเกิดความคิดในการสานต่องานองค์หลวงปู่มั่นให้ยั่งยืน โดยวางแผนจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อรำลึกถึงในวาระครบ 152 ปีชาตกาล และริเริ่มการจัดกิจกรรมประกวดภาพวาดชิงเงินรางวัลทุนการศึกษาในหัวข้อ “หลวงปู่มั่นกับสมาธิและสันติภาพ ในมุมมองของฉัน” เพื่อให้คนไทยได้เกิดแรงบันดาลใจในการศึกษาค้นคว้าชีวประวัติ ปฏิปทา ขององค์หลวงปู่มั่น แล้วนำมาใช้ในการวาดภาพ พร้อมเกิดการซึมซับธรรมะขององค์ท่านไปในตัวด้วย

เป็นกุศโลบายที่จะให้คนรุ่นใหม่และประชาชนทั่วไป ได้ศึกษาชีวประวัติ วัตรปฏิบัติ ขององค์หลวงปู่มั่น เพื่อให้เกิดการเรียนรู้  ด้วยการสอดแทรกศีลธรรมเข้าสู่ตัวเด็ก และประชาชน นับเป็นการสานต่อศรัทธา 152 ปีชาตกาล องค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตที่เกิดจากความสนใจได้อย่างแท้จริงและยั่งยืน”





สำหรับผลการประกวดภาพวาดชิงเงินรางวัลทุนการศึกษา ในหัวข้อ “หลวงปู่มั่นกับสมาธิและสันติภาพ ในมุมมองของฉัน” ผู้ได้รับรางวัล ได้แก่

1. ระดับประถมศึกษา รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ เด็กชายเจษฎา ทองบรรหา โรงเรียนวัดบ้านกล้วย จังหวัดสระบุรี รางวัลรองชนะเลิศ          ได้แก่ เด็กหญิงเอมมิกา บุญสวัสดิ์  โรงเรียนแย้มวิทยการ จังหวัดราชบุรี เด็กหญิงปุญญิศา สดใส  โรงเรียนอนุบาลเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ รางวัลชมเชย ได้แก่ เด็กหญิงภัทรวดี สุทธิอาจ โรงเรียนบ้านหลุบเลา จังหวัดสกลนคร

2. ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ เด็กหญิงรุ่งอรุณ ภูมิหมื่น โรงเรียนอนุบาลพุทธเมตตา จังหวัดอุบลราชธานี รางวัลรองชนะเลิศ ได้แก่ เด็กหญิงพรนิชา สุขสบาย  โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว จังหวัดสมุทรปราการ รางวัลชมเชย ได้แก่ เด็กชายณัฐพล แซ่แต้  โรงเรียนไทยรัฐวิทยา จังหวัดชุมพร

3. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ นางสาวพรทิพย์ สีหา โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว จังหวัดสมุทรปราการ รางวัลรองชนะเลิศ ได้แก่ นางสาวจณิสตา  ลิ้มประเสริฐ โรงเรียนแก่นทองอุปถัมภ์ กรุงเทพมหานคร รางวัลชมเชย ได้แก่ นางสาวลุด ไขสำแดง โรงเรียนมูลมังหลวงปู่ชอบฐานสโม จังหวัดเลย นายกิตติภัทร สิทธิวงศ์ โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว จังหวัดสมุทรปราการ

รางวัลพิเศษ ได้แก่  นายธีรสิทธิ์ เรืองสา โรงเรียนวังสมบูรณ์วิทยาคม จังหวัดสระแก้ว


4. ระดับมหาวิทยาลัย รางวัลชนะเลิศ ได้แก่  นายอนันต์ วงษ์ศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร (พระราชวังสนามจันทร์) จังหวัดนครปฐม รางวัลรองชนะเลิศ  ได้แก่  นางสาววรรณวารี นารายณ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่รางวัลชมเชย ได้แก่  นายพงษ์ภูธาร ทำดี  มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด

5. บุคคลทั่วไป รางวัลชนะเลิศได้แก่ นายสุรพันธ์ ขวัญแสนสุข  จังหวัดนครปฐม รางวัลรองชนะเลิศได้แก่ นายสุชาติ ขวัญหวาน จังหวัดนครปฐม รางวัลชมเชย ได้แก่ นายกตัญญู วัฒนาประดิษฐชัย จังหวัดกาฬสินธุ์

นางสาวพรทิพย์ สีหา โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว จังหวัดสมุทรปราการ ผู้คว้ารางวัลชนะเลิศ ม.ปลาย ชื่อภาพ:ร่วมแรงกายสร้างแรงใจ กล่าวถึงแนวความคิดของภาพว่า “ใช้แนวคิดที่ว่า แม้หลวงปู่ มั่นจะละสังขารไปกว่า 70 ปีแล้ว พลังศรัทธาของพุทธบริษัทที่ รวมแรงร่วมใจจากพลังแห่งสันติภาพ และความมีสามัคคีธรรมก็เหนี่ยวนำให้เกิดงานศิลปกรรมอันวิจิตร ด้วยแนวคิดที่ยึดเอา จริยวัตรอันงดงามของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เป็นสรณะ”

โดยนายอนันต์ วงษ์ศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร (พระราชวังสนามจันทร์) ผู้คว้ารางวัลชนะเลิศระดับมหาวิทยาลัย กล่าวถึงแนวความคิดของภาพวาดว่า “ผมต้องการที่จะสื่อถึง มุมมองของเด็กแต่ละคนที่เขาได้ทราบถึงชีวประวัติ และจินตนาการถึงหลวงปู่มั่น ด้วยความเลื่อมใส ศรัทธา เพลิดเพลินไปกับการถ่ายทอดเรื่องราวไม่ว่าท่านจะไปที่ใด ก็มักจะมีประชาชนเลื่อมใส และขอติดตามไปด้วยจากการเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ของท่านทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศทั่วโลก เพราะฉะนั้นการไปของท่านก็คือการนำหลักธรรมไปเผยแผ่ในตัวทำให้เกิด สันติภาพ สันติธรรม และสันติสุข

ส่วนรางวัลชนะเลิศ ประเภทบุคคลทั่วไป นายสุรพันธ์ ขวัญแสนสุข กล่าวถึงแนวคิดของการวาดภาพนี้ว่า ผมนำเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับวิธีการปฏิบัติกรรมฐานตาม แนวของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต โดยใช้แนวทางแบบกาย คตาสติภาวนาเป็นหลักปฏิบัติ แนวทางดังกล่าวเป็นการ พิจารณากรรมฐาน ๕ ได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็น องค์ประกอบสำคัญในการปฏิบัติกรรมฐาน หลักดังกล่าวเมื่อพิจารณาโดยถ่องแท้แล้วจะเห็นว่าร่างกาย ของมนุษย์นี้เป็นสิ่งไม่น่ารักใคร่ ยึดถือควบคุมไม่ได้จนเกิดความ เบื่อหน่าย คลายความยึดมั่นถือมั่น

 ดังนั้นแล้วมุมมองที่มีต่อเพื่อนมนุษย์จะเป็นไปในลักษณะของผู้ร่วมเกิดร่วมตาย เกิด ความเมตตา มุมมองดังกล่าวเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญใน กระบวนการสร้างสันติภาพ”

พระอาทิตย์ อธิปุญโญ (วงศ์แสนสุข) ประธานจัดงานฯ กล่าวในตอนท้ายว่า “นอกจากนี้ขอขอบคุณผู้ที่มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ ทั้งคณะกรรมการ คณาจารย์จากสมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยศิลปากร สื่อมวลชนทุกแขนง และผู้มีส่วนผลักดันร่วมในการมอบทุนการศึกษา คุณบุญชัย กอบสมบัติ คุณสุปราณี โยธินอุปมัย คุณโฉมฉาย อรุณฉาน

....เป็นที่น่ายินดีว่า กิจกรรมการประกวดภาพวาดในครั้งนี้ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก มีผู้ส่งภาพเข้าประกวดถึง 1,000 กว่าภาพ ซึ่งครั้งนี้เป็นการจัดครั้งแรก เราจึงอยากฝากติดตามกิจกรรมดีๆ ที่น่าสนใจในกิจกรรม 153 ปีชาตกาล และในปี ต่อๆไป เพื่อน้อมรำลึกถึงหลวงปู่มั่นสืบไป”

ติดตามการประกาศรายชื่อผู้รับรางวัลทุนการศึกษา ใบประกาศเกียรติบัตร และการรับรางวัล ได้ที่ Facebook Fanpage : BMC TV หรือที่ สถานีโทรทัศน์ BMCTV



 

 

วันจันทร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2565

DIPROM ดัน วิสาหกิจชุมชน จัดกิจกรรมพัฒนาการค้าชุมชนสู่ตลาดสากลด้วย E-commerce มุ่งขยายส่งออกผลิตภัณฑ์ชุมชน


กลุ่มส่งเสริมการตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชน กองพัฒนาอุตสาหกรรมชุมชน กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม จัดกิจกรรมพัฒนาการค้าชุมชนสู่ตลาดสากลด้วย E-Commerce เพื่อเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการ พัฒนาคนรุ่นใหม่ รวมถึงปรับรูปแบบธุรกิจ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาด สร้างรายได้ ขยายโอกาสทางการค้าในเวทีโลก

นายวัชรุน จุ้ยจำลอง ผู้อำนวยการกองพัฒนาอุตสาหกรรมชุมชน เปิดเผยผ่านพิธีเปิดการอบรมกิจกรรมพัฒนาการค้าชุมชนสู่ตลาดสากลด้วย E-Commerce ว่า ประเทศไทยได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤตโควิด 19  ทั้งในระดับภูมิภาค และ ระดับประเทศ โดยเฉพาะขณะนี้เป็นการระบาดระรอกที่ 5 แล้ว ทำให้อุตสาหกรรมการส่งออกของไทยประสบกับปัญหา และกระทบไปทุกภาคส่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการรายเล็กตามชุมชนในภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งกิจกรรมนี้ถือได้ว่ายังส่วนช่วยทำให้ผลิตภัณฑ์จากชุมชนของไทยที่มีมาตรฐานระดับประเทศได้ก้าวไกลสู่อินเตอร์ และสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการ และวิสาหกิจชุมชนในทุกภาคส่วน เพื่ออีกหนึ่งช่องทางที่จะช่วยส่งเสริม และผลักดันผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน ซึ่งถือได้ว่าเป็นกำลังหลักของประเทศ ให้สามารถค้าขายได้ในระดับโลกในอนาคต






ด้วยเหตุนี้ กลุ่มส่งเสริมการตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชน กองพัฒนาอุตสาหกรรมชุมชน กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการสร้าง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทย จึงได้จัดตั้งกิจกรรม “พัฒนาการค้าชุมชนสู่ตลาดสากลด้วย E-commerce” ขึ้น โดยนำนวัตกรรมเทคโนโลยีของผ่าน VDO Conference ผ่านระบบ Zoom และคัดเลือกผู้ประกอบการ วิสาหกิจชุมชนที่มีความสนใจเข้าร่วมโครงการ 33 ราย และจากนั้นจะทำการคัดเลือกผู้ประกอบการชุมชนให้เหลือจำนวนไม่น้อยกว่า 25 ราย เพื่อเข้าสู่กิจกรรมการเชื่อมโยงเพื่อต่อยอดธุรกิจสู่ประเทศคู่ค้าเป้าหมาย ผ่านกิจกรรม Business Matching online สู่ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 นี้

นางสาวสุปราณี หนองพล ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมการตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชน ได้กล่าวเสริมว่า เพื่อเตรียมความพร้อม และพัฒนาศักยภาพ เพิ่มสมรรถนะในการทำธุกิจ ผ่านการประยุกต์ใช้องค์ความรู้ เทคนิคต่างๆ ด้านการบริหารธุรกิจ และนำเสนอขายผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนที่สนใจ และการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการจะได้รับการถ่ายทอดแนวคิด และเทคนิคการบริหารธุรกิจเพื่อการส่งออกพื้นฐานพร้อมด้วยการพัฒนาทักษะ E-commerce ผ่าน Platform online เป็นจำนวน 4 วันโดยได้เชิญวิทยากรผู้มากความสามารถมา แบ่งปันความรู้ อาทิ

ศาสตราจารย์ ดร.พิริยะ ผลพิรุฬห์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาพัฒนาการเศรษฐศาสตร์ สถาบันบันฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ 

คุณศศิวิมล มีจรูญสม ผู้อำนวยการกองบริหารมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน สำนักมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม

คุณสุภาวดี คุ้มราษฎร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ 

คุณวราวุธ มีสายญาติ   นายกสมาคมนักธุรกิจไทยใน สปป.ลาว

คุณชลิต ผลอินทร์หอม  ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัทการบัญชีไทย จำกัด 

คุณญาณวิธ นราแย้ม   กรรมการผู้จัดการบริษัท เดอะวันแค้มป์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด 

ซึ่งวิทยากรแต่ละท่านล้วนมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ซึ่งจะช่วยผลักดันและพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน


วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2565

สุขภาพดีทั้งครอบครัว ต้อนรับตรุษจีน 2022 สินค้าพาลาทีนใช้แทนน้ำตาลทรายในครัวเรือน

ระหว่างวันที่ 28 ม.ค. – 1 ก.พ.65 นี้เท่านั้นบริษัท อีทเวลล์ จำกัด ผู้ผลิตพาลาทีน สวีทเทนเนอร์เพื่อคนรักสุขภาพ ซึ่งเป็นไอโซมอลทูโลส (Isomaltulose) เป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีโครงสร้างคล้ายกับน้ำตาลทราย ไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นสูงอย่างรวดเร็วหลังรับประทาน พาลาทีน สามารถย่อยและดูดซึมหมดในลำไส้เล็ก ไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อระบบขับถ่าย ทางเลือกสำหรับคนรักสุขภาพใช้แทนน้ำตาล หรือใช้เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรต 

จุดเด่น พาลาทีนเหมาะสำหรับควบคุมน้ำตาล และควบคุมน้ำหนัก, ใช้แทนน้ำตาลทรายในครัวเรือน, เพิ่มความหอมอร่อยให้อาหาร, ดูดซึมได้หมดในลำไส้, ค่า GI ต่ำ = 38, เบาหวาน ความดัน ไต มะเร็ง ทานได้ และเหมาะสำหรับซื้อเป็นของฝากสำหรับคนรักสุขภาพ

สามารถสั่งซื้อพาลาทีนสวีทเทนเนอร์ได้ที่

LINE@: https://lin.ee/iADtNKV 📞เบอร์โทรศัพท์: 086-369-555

                           


วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2565

“บีไชน์ ไดเปปไทด์ คอลลาเจน พลัส” นวัตกรรมใหม่จากญี่ปุ่น ดื่มง่ายไม่คาว

บำรุงผิว เสริมข้อเข่าให้แข็งแรง โปรราคาพิเศษ ที่เซเว่น อีเลฟเว่น และวัตสันทุกสาขา

“บีไชน์ ไดเปปไทด์ คอลลาเจน พลัส” ขั้นสุดของคอลลาเจนที่ดี ดูแลได้มากกว่าผิวและข้อต่อ ผสาน 5 คุณประโยชน์เน้นๆ ได้แก่ ไดเปปไทด์คอลลาเจนจากปลา นวัตกรรมใหม่จากประเทศญี่ปุ่นที่มีขนาดโมเลกุลเล็กที่สุด ดูดซึมได้ดีที่สุด, สารสกัดจากซีบัคธอร์น, สารสกัดจากว่านหางจระเข้, วิตามินซี และวิตามินอี ช่วยบำรุงผิวให้สวยเนียนใส ตึงกระชับ ลดริ้วรอย พร้อมเสริมข้อเข่าให้แข็งแรง สุขภาพดี ลดอาการปวดเข่าจากข้อเข่าอักเสบ รับประทานวันละ 1 ซอง สามารถผสมกับเครื่องดื่มและอาหารได้หลากหลายตามที่ต้องการ เช่น น้ำเปล่า ชา กาแฟ นม น้ำผลไม้ หรือเติมปรุงในอาหารต่างๆ เช่น ซุป โยเกิร์ต
น้ำสลัด โดยไม่ทำให้รสชาติของอาหารเปลี่ยนแปลง ละลายง่าย ไม่คาว ไม่ใส่สี ไม่แต่งกลิ่น ไม่แต่งรส ไม่มีไขมัน ไม่เติมน้ำตาล

“บีไชน์ ไดเปปไทด์ คอลลาเจน พลัส” ละลายง่าย ไม่คาว ไม่ใส่สี ไม่แต่งกลิ่น ไม่แต่งรส ไม่มีไขมัน ไม่เติมน้ำตาล หนึ่งซองบรรจุขนาด 7,200 มก จัดโปรโมชั่นทั้งแบบซองและแบบกล่อง ดังนี้ 1. แบบซอง โปรโมชั่นราคาพิเศษซองละ 35 บาท (จากปกติ 39 บาท) ที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นทุกสาขา ตั้งแต่วันนี้ - 23 มกราคม 2565 และ 2. แบบกล่องบรรจุ 6 ซอง โปรโมชั่นราคาพิเศษ 209 บาท (จากปกติ 395 บาท) ที่ร้านวัตสันทุกสาขา วันนี้ - 22 มกราคม 2565 

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
www.bshine.co.th
,
FB : https://www.facebook.com/BnpHealth
และ Line : @Bshine 

สวัสดีค่ะเสือ 🐯 เหยื่อมาแล้วววว

พิเศษสุดสำหรับลูกค้าคาเฟ่ เดอ โอเอซิสและโทบี้พิซซ่า โอเอซิสสปา จัดโปรดีปีเสือ ว้าวเชอร์สปามูลค่า 2,022 บาท ซื้อเพียง 999 บาท 🐯  ใช้ได้ที่โอเอซิสสปาทุกสาขา เชียงใหม่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต และพัทยา ซื้อเลยนะคะ ไม่ต้องรอให้เหยื่อหมดน้าาา 🐯 de1.us/G9Zh8YX

วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2565

โครงการ “พลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดิน” เดินหน้าภารกิจถ่ายทอดองค์ความรู้ศาสตร์พระราชาสู่ปีที่ 9

คืนสู่ลุ่มน้ำป่าสัก จัดกิจกรรมเอามื้อที่ จ.นครราชสีมา ชูเกษตรแบบ โคก หนอง นาสู้วิกฤตสิ่งแวดล้อม สร้างความมั่นคงทางอาหาร

โครงการ “พลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดิน” (ตามรอยพ่อฯ) จัดกิจกรรมเอามื้อ  ณ จังหวัดนครราชสีมา ลุ่มน้ำป่าสัก เดินหน้าภารกิจถ่ายทอดองค์ความรู้ศาสตร์พระราชาสู่ปีที่ 9 เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนไทยลงมือทำเกษตรแบบโคก หนอง นา ตามศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่ไม่เพียงช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม คืนสมดุลให้กับระบบนิเวศ แต่ยังช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร อันเป็นหนึ่งในปัจจัยพื้นฐานสำหรับการรับมือกับวิกฤตต่างๆ ของมนุษย์ได้อีกด้วย โดยวางมาตรการความปลอดภัยด้านสุขอนามัยของผู้ร่วมกิจกรรมอย่างเข้มข้น 

“โคก หนอง นา” ฝ่าวิกฤตสิ่งแวดล้อม
ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร นายกสมาคมดินโลก และผู้ก่อตั้งมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ กล่าวว่า “ในปัจจุบัน   ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อร่วมกันรับมือกับภาวะการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ให้โลกพัฒนาต่อไปได้อย่างยั่งยืน ซึ่งการทำเกษตรแบบโคก หนอง นา ตามศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาท้องถิ่น นับเป็นเครื่องมือที่จะช่วยในการบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ได้ เพราะในโคก หนอง นา จะมีป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ซึ่งจะเป็น  ตัวสร้างสมดุลของระบบนิเวศในพื้นที่ นำมาสู่ความหลากหลายทางชีวภาพหรือ biodiversity จากสิ่งมีชีวิตที่อยู่ทั้งในน้ำ     ใต้ดิน บนดิน หรือในป่า อันไม่เพียงช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและแก้ปัญหาภัยพิบัติได้อย่างยั่งยืน แต่ยังช่วยให้มีอาหาร   การกินสมบูรณ์ เกิดความมั่นคงทางอาหาร เพื่อสนับสนุนเป้าหมายของสหประชาชาติในการขจัดความอดอยาก (zero hunger) อีกด้วย การทำเกษตรแบบโคก หนอง นา จึงเกิดประโยชน์ทั้งต่อตนเอง ครอบครัว สังคม ประเทศชาติ และ  ช่วยโลกไปพร้อมๆ กัน”   





นอกจากนั้น การทำเกษตรตามแนวทางศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาท้องถิ่นยังช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทนของภาคการเกษตร ซึ่งมีผลกระทบต่อภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดย ดร.วิวัฒน์ กล่าวว่า “จากข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมที่ระบุว่าภาคการเกษตรมีการปลดปล่อยก๊าซมีเทนสูง ส่งผลต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมนั้น ก๊าซมีเทนเกิดมากใน การทำเกษตรเชิงเดี่ยว หรือเลี้ยงสัตว์ประเภทเดียวที่เป็นฟาร์มปศุสัตว์ขนาดใหญ่และใช้ยาปฏิชีวนะ ก็จะทำให้กระบวนการย่อยสลายเกิดก๊าซมีเทนขึ้น ไม่ว่าจะในลำไส้ของสัตว์หรือมูลสัตว์ที่ถ่ายทิ้งออกมา แม้แต่กระบวนการหมักของฟางกิ่งไม้ใบไม้ที่มีสารเคมีอยู่ด้วย ซึ่งสามารถแก้ได้ด้วยการใช้น้ำสมุนไพรรสจืดเพื่อกระตุ้นกลไกการทำงานของจุลินทรีย์ให้สามารถย่อยสลายได้อย่างรวดเร็วโดยไม่เกิดก๊าซมีเทน ในทางตรงกันข้ามกลับกระตุ้นให้เกิดออกซิเจนขึ้นมาด้วยซ้ำ" 

ตามรอยพ่อฯ ปี 9 คืนสู่ลุ่มน้ำป่าสัก
ด้าน นายอาทิตย์ กริชพิพรรธ ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายสนับสนุนธุรกิจ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิตจำกัด กล่าวถึงแนวคิดหลักและรายละเอียดกิจกรรมว่า “ครั้งนี้นับเป็นกิจกรรมเอามื้อครั้งแรกของโครงการ ‘ตามรอยพ่อฯ’ ปี 9 หลังจากที่ได้ชะลอการจัดกิจกรรมออนกราวด์ถึงกว่า 1 ปีเต็ม ซึ่งเป็นผลจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างไรก็ดีในช่วงที่ผ่านมา โครงการ ‘ตามรอยพ่อ’ ได้เดินหน้าเผยแพร่องค์ความรู้ศาสตร์พระราชาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แนวคิด ‘9 ปี แห่งพลังสามัคคี ฟันฝ่าทุกวิกฤต สู่ทางรอดที่ยั่งยืน’ ผ่านกิจกรรมบนแพลตฟอร์มออนไลน์ของโครงการทั้งเว็บไซต์และ   เฟซ บุ๊ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคลิปวิดีโอ ‘คู่มือสู่วิถีกสิกรรมธรรมชาติ’ ที่ให้ความรู้พื้นฐานแก่ผู้สนใจลงมือทำการเกษตรตามแนวทางศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาท้องถิ่น นอกจากนั้นเรายังช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในแคมเปญ ‘รวมพลังสู้โควิด-19’ โดยทำงานร่วมกับศูนย์ช่วยโควิด-19 ของเครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติรวม 19 แห่งทั่วประเทศ  จัดคาราวานแจกตะกร้าปันสุข ชุดต้มและน้ำสมุนไพร 7 นางฟ้า และกล่องกรีนบ็อกซ์ (Home Isolation Green Box)  ชุดดูแลตัวเองสำหรับผู้ป่วยที่พักรักษาตัวที่บ้านไปเป็นจำนวนมาก ไปยัง 252 พื้นที่ทั่วประเทศ” 

นายอาทิตย์ กล่าวถึง กิจกรรมเอามื้อ ณ จังหวัดนครราชสีมา ในครั้งนี้ว่า “โครงการตามรอยพ่อฯ ดำเนินการเข้าสู่ปีที่ 9 ซึ่งเป็นปีสรุปผลความสำเร็จของโครงการ เราจึงกลับมาจัดกิจกรรมในพื้นที่บริเวณลุ่มน้ำป่าสัก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการตามรอยพ่อฯ เมื่อ 9 ปีที่แล้วอีกครั้ง โดยเลือกพื้นที่เสงี่ยมคำกสิกรรมวิถีของคุณสุณิตา เหวนอก ซึ่งเป็นหนึ่งใน  คนต้นแบบ ‘คนหัวไวใจสู้’ ของเครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติ ผู้มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาพื้นที่ของตนเองตามแนวทางศาสตร์พระราชาเพื่อเป็นต้นแบบให้เกษตรกรในพื้นที่และคนรุ่นลูกหลาน รวมถึงแปลงพื้นที่ของตนเองเป็น 1 ใน 19 ศูนย์ช่วยโควิด-19 ในแคมเปญรวมพลังสู้โควิด-19 เราจึงมาจัดกิจกรรมเอามื้อในพื้นที่ของคุณสุณิตา เพื่อแสดงความขอบคุณในความมุ่งมั่นและความเสียสละ” 

นายบุญล้อม เต้าแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงสวนล้อมศรีรินทร์ กล่าวเสริม ข้อมูลพื้นที่ว่า “นครราชสีมาหรือโคราชเป็นจังหวัดใหญ่ในภาคอีสาน มีพื้นที่ป่าเขาและพื้นที่เกษตรจำนวนมาก ทางทิศตะวันตกเชื่อมกับจังหวัดชัยภูมิ เป็นแหล่งรวมลุ่มน้ำสำคัญ 3 ลุ่ม คือ ลุ่มน้ำมูล ลุ่มน้ำชี และทางทิศตะวันตกมีพื้นที่บางส่วนที่ไหลไปลงใน ลุ่มน้ำป่าสัก  เนื่องจากเป็นจังหวัดใหญ่มีประชากรมากมีความต้องการน้ำสูง ประกอบกับมีภัยแล้งบ่อยครั้ง โครงการจึงนำเสนอพื้นที่ของคุณสุณิตา เหวนอก เป็นพื้นที่ตัวอย่างความสำเร็จในโคราช เพราะได้พิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า   การนำศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาท้องถิ่นไปลงมือปฏิบัตินั้น สามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเกิดวิกฤตใด ทั้งภัยแล้ง อุทกภัย หรือภัยจากโรคระบาด เสงี่ยมคำกสิกรรมวิถีของคุณสุณิตาก็ผ่านพ้นวิกฤตได้อย่างดี นอกจากจะสามารถพึ่งตนเองได้แล้ว ยังส่งต่อความช่วยเหลือไปยังเพื่อนมนุษย์ในสังคมในชุมชนอื่น ๆ ได้อีกด้วย 

ตามรอยพ่อฯ ด้วยหัวใจ|
ด้าน นางสาวสุณิตา เหวนอก (นวล) เจ้าของพื้นที่ เสงี่ยมคำกสิกรรมวิถี ขนาด 6 ไร่ ตั้งอยู่ที่บ้านหนองบัวกลาง ต.จักราช อ.จักราช จ.นครราชสีมา กล่าวว่า “นวลเป็นคนโคราชโดยกำเนิด พี่น้อง 4 คนเป็นลูกคนที่ 2 ครอบครัวเป็นเกษตรกรที่ทำงานหนัก มีแต่หนี้สิน เมื่อจบ ป.6 ก็ทำสวนทำนากับที่บ้าน พออายุ 16-17 ปี พ่อแม่ให้ไปทำงานโรงงานจึงแอบเรียน กศน. โดยทำงานส่งตัวเองเรียนและส่งเงินให้ที่บ้านด้วย จึงต้องทำงานหนักมากทำทั้งโรงงานเย็บผ้า โรงงานของเล่น ฯลฯ ในที่สุดก็เรียนจนจบปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏโคราช พออายุ 29 ปี สอบติดราชการและเรียนต่อจนจบนิติศาสตร์ มหาวิธรรมศาสตร์ หลักสูตรประกาศนียบัตรกฎหมายมหาชน อายุ 30 กว่าทำงานเป็นนิติกรที่รังสิตปัจจุบันย้ายมาที่ อ.จักราช จุดเปลี่ยนคือหลังจากในหลวงรัชกาลที่ 9 สวรรคตเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ได้ดูรายการสารคดีโทรทัศน์ ‘แสงจากพ่อสู่ความยั่งยืน’ ทุกคืน ทำให้เกิดคำถามกับตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ จนมีโอกาสพบ อ.เข้ม (ไตรภพ โคตรวงษา ประธานมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ) ซึ่งได้ชวนให้มาเป็นจิตอาสาช่วยโครงการท่องเที่ยวตามศาสตร์พระราชาของมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ แล้วจึงไปอบรมการทำเกษตรตามแนวทางศาสตร์พระราชาทั้งที่ศูนย์ภูมิรักษ์ฯ อบรมออกแบบโคก หนอง นา โมเดลที่วัดหนองสองห้อง อบรมที่ศูนย์คืนป่าสัก แล้วตัดสินใจลงมือทำบนที่ดินแปลงนี้ เพื่อให้เป็นแหล่งอาหารปลอดภัยของครอบครัว เพราะทำเอง
รู้ว่าเราใส่อะไรลงไป โดยปลูกพืชต่างๆ เช่น กล้วย ละมุด อ้อยพันธุ์สุพรรณ 50 ถั่วลิสง เป็นต้น” 

นางสาวสุณิตา กล่าวถึงความสุขที่ได้จากการตามรอยศาสตร์พระราชาว่า “มีความสุขมาก ช่วงแรกที่ลงมือทำแม่ไม่เห็นด้วย ไม่ยอมมาดู เพราะเสียดายที่ดิน แต่พอปีนี้ สิ่งที่เราทำเริ่มผลิดอกออกผล แม่ก็เข้ามาดูเกือบทุกวันรู้สึกว่าตัวเองคิดถูกแล้วที่เดินตามรอยพ่อ แม้จะต้องใช้เวลาและความอดทนอย่างมาก แต่ก็คุ้มค่าที่ทำให้ครอบครัวยอมรับได้ และยังสร้างความรัก ความเข้าใจ ความอบอุ่น สร้างความมั่นคงปลอดภัยทางอาหารให้ครอบครัว อีกทั้งยังภูมิใจที่เป็นแรงบันดาลใจให้เพื่อนทำตามด้วย โดยหลังจากนี้อยากทำสวนสมุนไพรเพิ่มในพื้นที่เพื่อดูแลสุขภาพของคนในครอบครัว” 






กิจกรรมเอามื้อในครั้งนี้ประกอบด้วยการทำแปลงปลูกผักอินทรีย์  ขุดปรับคลองไส้ไก่รอบแปลงนาและหนองน้ำ ปลูกพืชผักสวนครัวรั้วกินได้ ห่มฟาง ใส่ปุ๋ยแห้งปุ๋ยน้ำ  ทำเครื่องกรองน้ำถัง 200 ลิตร  ทำเครื่องสูบน้ำพลังงานโซล่าเซล  แปรรูปผลผลิต อาทิ สบู่ฟักข้าว แชมพูดอกอัญชัน กล้วยหมัก ชาตะไคร้ ไข่เค็ม โดยดำเนินมาตรการความปลอดภัยด้านสุขอนามัยของผู้ร่วมกิจกรรมอย่างเข้มข้น อาทิ การควบคุมจำนวนผู้ร่วมกิจกรรม ผู้ร่วมกิจกรรมทุกคนต้องแสดงผลยืนยันการตรวจ ATK (Antigen Test Kit) ก่อนร่วมงานไม่เกิน 72 ชั่วโมง รวมถึงเอกสารยืนยันการได้รับวัคซีนอย่างน้อย 2 เข็ม การสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่ร่วมกิจกรรม เป็นต้น

ผู้ที่สนใจติดตามกิจกรรมในโครงการ “พลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดิน”
ได้ทาง www.facebook.com/ajourneyinspiredbytheking
หรือดูรายละเอียดที่ https://ajourneyinspiredbytheking.org

ข่าวประชาสัมพันธ์

พม. จับมือ มูลนิธิ เมเจอร์ แคร์, GDH, และ มูลนิธิ 5 For All พาคุณตา คุณยาย ไปดูหนัง

ส่งเสริมคุณค่าความสำคัญระหว่างผู้สูงอายุและครอบครัว วันนี้ 26 เมษายน 2567 เวลา 10.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จัดแถล...

โวยวายดอทคอม