วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ซับคอนไทยแลนด์ 2025


ซับคอนไทยแลนด์ 2025 เสริมแกร่งซัพพลายเชนไทยด้วยเวทีจับคู่ธุรกิจอุตสาหกรรมระดับภูมิภาค จุดพลุโอกาสธุรกิจไทย พร้อมเดินหน้าสู่ภาคการผลิตยุคใหม่ เปิดฉากยิ่งใหญ่ร่วม อินเตอร์แมค และ พลาสติกแอนด์รับเบอร์ ไทยแลนด์ 2025

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จับมืออินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ และพันธมิตรภาครัฐ–เอกชนในทุกห่วงโซ่อุปทาน  เปิดงาน " ซับคอนไทยแลนด์ " ควบคู่กับงาน อินเตอร์แมค - พลาสติกแอนด์รับเบอร์ ไทยแลนด์ 2025 เดินหน้าโชว์เทคโนโลยีและนวัตกรรมเครื่องจักร–อุตสาหกรรมรับช่วงการผลิตทันสมัยที่สุดในภูมิภาค พร้อมหนุนผู้ประกอบการไทย เข้าถึงโอกาสจับคู่ธุรกิจกับผู้ซื้อรายใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ ชูแนวคิด “ลดคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์” วางเป้าดันไทยเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมสีเขียวอย่างยั่งยืน


นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงรอบด้าน ทั้งจากภาวะโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสู่ระบบพลังงานสะอาด ประกอบกับปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ เทคโนโลยี และความยั่งยืนที่กำลังพลิกโฉมภาคอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว งานซับคอนไทยแลนด์ 2025 ที่จัดขึ้นในวันนี้ ถือเป็นเวทีสำคัญที่สะท้อนศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการผลิตและการลงทุนระดับภูมิภาค ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการจัดแสดงนวัตกรรมเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้ต่อยอดเครือข่าย พัฒนาความร่วมมือ และขยายโอกาสทางธุรกิจสู่ตลาดสากล รัฐบาลมีนโยบายชัดเจนในการผลักดันอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า เซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และพลังงานสะอาด เพื่อเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งภายในประเทศ และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในระยะยาว เราเดินหน้าอย่างต่อเนื่องในการส่งเสริมการลงทุน พัฒนาเทคโนโลยี บุคลากร และโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านของเศรษฐกิจโลกสู่ระบบสีเขียวและดิจิทัล ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์โลก ประเทศไทยยังคงมีโอกาสมหาศาลในการก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลาง Subcontracting & Supply Chain Hub แห่งภูมิภาคอาเซียน งานในวันนี้จึงเป็นมากกว่างานแสดงสินค้า แต่คือการสร้างอนาคตของอุตสาหกรรมไทยผ่านความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และนักลงทุนจากทั่วโลก ซึ่งผมเชื่อมั่นว่า งานซับคอนไทยแลนด์  2025 งานอินเตอร์แมค และงานพลาสติกแอนด์รับเบอร์ไทยแลนด์ จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้ประเทศไทยเดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางการลงทุนและการผลิตที่ยั่งยืนในระดับโลกได้อย่างแท้จริง


นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า บีโอไอให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมสนับสนุนและการรับช่วงการผลิตมาโดยตลอด โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญของการสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ให้มั่นคงและยั่งยืน คือการยกระดับห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของประเทศให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนและวัตถุดิบในประเทศ โดยเฉพาะผู้ประกอบการไทยและ SME ได้มีบทบาทอย่างแท้จริงในระบบอุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคต โดยงานซับคอนไทยแลนด์จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 19 ถือเป็นเวทีสำคัญระดับนานาชาติที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของบีโอไอ ในการเชื่อมโยงโอกาสทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ผ่านกิจกรรม Business Matching กับผู้ซื้อรายใหญ่ การเจรจาจัดซื้อชิ้นส่วนในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ และกิจกรรมตลาดกลางซื้อขายที่เปิดกว้างสำหรับผู้ประกอบการทุกระดับ ที่สำคัญในปีนี้ เรายังเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยเปิดพื้นที่ "xEV Sourcing Zone" เพื่อให้บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วน (Tier 1) จัดแสดงชิ้นส่วนที่ต้องการจัดซื้อ และกิจกรรม BOI Symposium 2025 ภายใต้ธีม Shaping the Future of xEV in Thailand - Opportunities for Innovation and Growth ที่เชิญผู้นำระดับสูงจากค่ายรถชั้นนำ มาร่วมแลกเปลี่ยนทิศทางการพัฒนา xEV และบทบาทของไทยในเวทีโลก


นายมนู เลียวไพโรจน์ ประธานบริษัท อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กล่าวว่า อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ในฐานะผู้จัดงานแสดงสินค้าชั้นนำระดับโลก มุ่งสร้างบทบาทมากกว่าเพียง "เวทีแสดงสินค้า" แต่คือ "แพลตฟอร์มเชิงกลยุทธ์" ที่เชื่อมโยงภาคอุตสาหกรรมไทยเข้ากับเครือข่ายธุรกิจ เทคโนโลยี และการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เราภูมิใจที่ได้สานต่อการจัดงาน อินเตอร์แมค – ซับคอนไทยแลนด์ – พลาสติกแอนด์รับเบอร์ ไทยแลนด์ 2025 โดยมุ่งยกระดับภาคการผลิตของไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน สำหรับปีนี้อินเตอร์แมค 2025 จัดงานขึ้นภายใต้แนวคิด "Manufacturing Solution Towards Net Zero Carbon" ผ่านการนำเสนอเทคโนโลยีเครื่องจักร ระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ ซอฟต์แวร์อุตสาหกรรม ไปจนถึง Cyber Security สำหรับโรงงานอัจฉริยะ พร้อม Business Matching Program และ Buyers’ Village ที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs เข้าถึงผู้ซื้อระดับโลกอย่างใกล้ชิด พร้อมกันนี้ความร่วมมือกับภาครัฐ โดยเฉพาะ BOI และพันธมิตรในห่วงโซ่อุตสาหกรรม ยังเป็นหัวใจสำคัญของงาน ซึ่งปีนี้รวมเทคโนโลยีกว่า 1,500 แบรนด์จาก 45 ประเทศไว้ในพื้นที่เดียวกัน เราเชื่อมั่นว่าการจัดงานในครั้งนี้ คือเวทีสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยเข้าสู่การผลิตอัจฉริยะ และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ภาคการผลิตที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม


ร่วมเป็นฟันเฟืองสำคัญ สู่เป้าหมาย "ลดคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์" ในงาน SUBCON Thailand 2025 เวทีแสดงชิ้นส่วนอุตสาหกรรมและการจับคู่ธุรกิจชั้นนำของอาเซียน ที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเชื่อมโยงกับตลาดโลกอย่างไร้รอยต่อ เสริมทัพด้วยงานอินเตอร์แมค 2025 งานแสดงเทคโนโลยีเครื่องจักรกล ระบบอัตโนมัติ และอุตสาหกรรมรับช่วงการผลิตชั้นนำของอาเซียน ที่รวบรวมโซลูชันเพื่อภาคการผลิตยุคใหม่อย่างครบวงจร ซึ่งจัดร่วมกับงานพลาสติกแอนด์รับเบอร์ไทยแลนด์ 2025 งานอุตสาหกรรมการผลิตพลาสติกแห่งภูมิภาคอาเซียน และงาน IAR (Industrial Automation and Robotics Event)  ที่จะเสริมศักยภาพผู้ประกอบการในทุกมิติแบบครบเครื่อง ครบวงจร ครอบคลุมทุกห่วงโซ่ภาคการผลิต – ที่เดียวงานนี้เท่านั้น! 

Wedding Showcase ครั้งที่ 9 ร้อยเรียงจินตนาการงานแต่ง ณ โรงแรมทีเค.พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น


Wedding Showcase ครั้งที่ 9 ร้อยเรียงจินตนาการงานแต่ง ณ โรงแรมทีเค.พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่นความฝันและจินตนาการครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตคุณ เกิดขึ้นได้ ณ โรงแรมทีเค.พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น โดย ทีมงาน Wedding planer รังสรรค์การจัดงานวิวาห์ตามนิยามความรัก เราพร้อมเนรมิตความต้องการ ในงาน Wedding Showcase ครั้งที่ 9 จัดขึ้นในวันที่ 24-25 พฤษภาคม 2568 ณ ห้องเยอร์บีร่า ชั้น 3 โรงแรมทีเค.พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น

​Wedding Showcase : “แต่งงานกับเรา” ณ โรงแรมทีเค.พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น คุณจะได้สัมผัสประสบการณ์งานวิวาห์ ที่ทางเรารังสรรค์ความฝันให้กับคู่รักเป็นพิเศษ โดยภายในงานครั้งนี้ จะอบอวนด้วยสีชมพูนุ่มนวล อ่อนหวาน เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก พร้อมนำเสนอศิลปะการตกแต่งดอกไม้ รูปแบบการจัดวางอย่างพิถีพิถัน เพื่องานวิวาห์ที่สมบูรณ์แบบ​โปรโมชั่นสำหรับคู่รักที่สนใจ “แต่งงานกับเรา” ภายในงาน Wedding Showcase ครั้งที่ 9 รับส่วนลดสูงสุด 30% พร้อมส่วนลดอื่นๆ มากมาย โดยมีทีมงานวิวาห์มืออาชีพคอยให้คำปรึกษา



​“แต่งงานกับเรา”สะดวกสบายใกล้แค่เอื้อม ณ โรงแรมทีเค.พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น ติดถนนแจ้งวัฒนะ ซอย 15 เดินทางด้วยรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีแจ้งวัฒนะ14 สถานที่จอดรถมากกว่า 400 คัน
​ขอเชิญชวนทุกคู่รัก ร่วมสัมผัสบรรยากาศการจัดงานวิวาห์ พร้อมเมนูอาหารที่คัดสรรค์มาเป็นอย่างดีเพื่อทุกคู่รัก ในวันที่ 24-25 พฤษภาคม 2568 ณ ห้องเยอร์บีร่า ชั้น 3 เวลา 10.00 - 18.00 น. ณ โรงแรมทีเค.พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น​
​สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
02 -5741588 ต่อ 6027 , 063 2186152
Fackbook : TKPALACEHOTEL​, Wedding with TK. Palace Hotel
Line : TK Palace Official

พังงาจัดใหญ่โรดโชว์สินค้าอัตลักษณ์พื้นถิ่นสินค้าชุมชนสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI)

พังงาจัดใหญ่โรดโชว์สินค้าอัตลักษณ์พื้นถิ่น เสิร์ฟตรงเคาะประตูบ้านอวดสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) สินค้าชุมชน อาหารทะเลแปรรูป และสินค้าเด่นของจังหวัดพังงา ท้าชิม&ช้อป

จังหวัดพังงา จัดงาน Phangnga Fair 2025 ขนทัพสินค้าอัตลักษณ์ของจังหวัดพังงา รวมทั้งสินค้าเกษตร  สินค้าเกษตรแปรรูป  สินค้าชุมชน  อาหารทะเล  และอาหารทะเลแปรรูป  เดินสายโรดโชว์ ท้านักช็อป นักชิมทั่วไทย ระหว่างวันที่ 27-31 พฤษภาคม 2568 ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล ภูเก็ต และระหว่างวันที่ 21-25 มิถุนายน 2568 ที่ศูนย์ราชการจังหวัดพังงา หวังขยายตลาด สร้างการรับรู้สินค้าพื้นถิ่นจังหวัดพังงาสู่ท้องที่ใกล้เคียงและระดับชาติ  เป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจังหวัดพังงาในระยะยาว และยกระดับธุรกิจสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการจังหวัดพังงาอย่างยั่งยืน



นายบุญธรรม ถาวรทัศนกิจ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา กล่าวถึง วัตถุประสงค์ของการจัดงานครั้งนี้ว่า จังหวัดพังงา ขานรับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทยทุกระดับให้สามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสร้างรายได้ให้เกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย โดยมุ่งเน้นการสร้างความเข้มแแข็งจากภายในประเทศ สร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เข้มแข็ง ด้วยการส่งเสริมสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (สินค้า GI) สินค้าเกษตร สินค้าเกษตรแปรรูป สินค้าชุมชน  อาหารทะเลแปรรูป และสินค้าเด่นของจังหวัดพังงา ให้เป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ 

ปัจจุบันมีสินค้าท้องถิ่นไทยที่ขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์แล้วจำนวนทั้งสิ้น 230 สินค้า สร้างมูลค่าทางการตลาดให้ประเทศกว่า 77,000 ล้านบาท  สำหรับจังหวัดพังงา มีสินค้าอัตลักษณ์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) แล้ว จำนวน 4 รายการ ได้แก่ ทุเรียนสาลิกาพังงา  ข้าวไร่ดอกข่าพังงา  มังคุดทิพย์พังงา และปลิงทะเลเกาะยาว นอกจากนี้ยังมีสินค้าเกษตร สินค้าเกษตรแปรรูป สินค้าชุมชน อาหารทะเล และอาหารทะเลแปรรูป ซึ่งล้วนแต่เป็นสินค้าที่มีอัตลักษณ์โดดเด่น มีชื่อเสียง และสร้างรายได้ให้กับจังหวัดพังงาปีละหลายล้านบาท 





จังหวัดพังงา มุ่งหวังให้สินค้าดังกล่าวได้รับการรู้จักอย่างแพร่หลาย และสามารถขยายตลาดเติบโตอย่างไร้ขีดจำกัด จึงได้จัดกิจกรรมแสดงและจำหน่ายสินค้าอัตลักษณ์ของจังหวัดพังงา แบบโรดโชว์ทั้งในและนอกพื้นที่ รวม 2 ครั้ง โดยครั้งแรกจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27-31 พฤษภาคม 2568 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล ภูเก็ต อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต จำนวน 50 ร้านค้า และครั้งที่สอง จัดระหว่างวันที่ 21-25 มิถุนายน 2568 ณ ศูนย์ราชการจังหวัดพังงา อำเภอเมืองพังงา จังหวัดพังงา จำนวน 80 ร้านค้า ซึ่งภายในงานพบกับกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย เช่น กิจกรรมการเจรจาธุรกิจ กิจกรรมการแสดงจากศิลปิน และกิจกรรมส่งเสริมการขายทุกวัน

โดยความคาดหวังจากการจัดงานดังกล่าวจะช่วยสร้างการรับรู้ เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ อันจะก่อให้เกิดผลดีในการขยายช่องทางตลาดทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ รวมทั้งสร้างการรับรู้ให้ผู้บริโภคต่างพื้นที่ได้รู้จักและเข้าถึงสินค้าจังหวัดพังงามากขึ้น อันเป็นการช่วยส่งเสริมการทำธุรกิจและสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการ  อีกทั้งยังเป็นกิจรรมสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจของขังหวัดพังงานให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป  

จึงขอเชิญชวนผู้ที่สนใจเข้าร่วมงาน Phangnga Fair 2025 โดยจัดระหว่างวันที่ 27-31 พฤษภาคม 2568
ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล ภูเก็ต และครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 21-25 มิถุนายน 2568 ณ ศูนย์ราชการจังหวัดพังงา

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดพังงา หมายเลขโทรศัพท์ 0 7648 1743

พม. จัดแถลงข่าวเตรียมจัดงาน “Charming of the Sea - Let’s see the Mountain 2025”

ชมวิถีชาวเล ยลเสน่ห์มานิ ณ หาดบางสัก จ.พังงา 

   วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม 2568 เวลา 10.00 น. ณ อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ นายกันตพงศ์ รังษีสว่าง อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เป็นประธานการแถลงข่าวเปิด “โครงการชมวิถีชาวเล ยลเสน่ห์มานิ Charming of the Sea - Let’s see the Mountain 2025” ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16 - 18 พฤษภาคม 2568 ณ หาดบางสัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา และขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวสัมผัสเสน่ห์วิถีชีวิตของราษฎร ชาติพันธุ์ชาวเล มอแกน มอแกลน อูรักลาโวยจ และมานิ และกิจกรรมสุดพิเศษอีกมากมาย 


   นายกันตพงศ์ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีหน้าที่ในการขับเคลื่อนการฟื้นฟู วิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลในทุกมิติ ทั้งทางด้านสังคม เศรษฐกิจ คุณภาพชีวิต กฎหมาย ดังนั้น เพื่อให้เกิด การขับเคลื่อนด้านการพัฒนาสังคมให้แก่ราษฎรชาติพันธุ์ของประเทศ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการจึงมีภารกิจใน การพัฒนารูปแบบ และแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิต ส่งเสริม และสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิตของราษฎรชาติพันธุ์ชาวเลและมานิ รวมไปถึงการประสานความร่วมมือการดำเนินงานกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ทุกภาคส่วน 

   นายกันตพงศ์ กล่าวต่อไปว่า กลุ่มชาติพันธุ์นับว่าเป็นพลเมืองที่มีความรู้ ความสามารถตามวิถีของตนมีวัฒนธรรม ประเพณีและวิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ที่สืบทอดกันมาตามความเชื่อของชาติพันธุ์มายาวนาน ซึ่งชาวเล เป็นกลุ่มคนที่อาศัย ตามสภาพภูมิศาสตร์พื้นที่ภาคใต้ฝั่งตะวันตกของประเทศไทยที่เป็นท้องทะเลชายฝั่งในทะเลอันดามัน ได้แก่ จังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ สตูล โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มประกอบด้วย ชาวมอแกน ชาวมอแกลน และชาวอูรักลาโวยจ ส่วน “มานิ” เป็นชาติพันธุ์มีวิถีวัฒนธรรมและมีอัตลักษณ์ของตนเองที่แสดงถึงการอยู่ร่วมกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระบบนิเวศ ป่าดิบขึ้นแห่งเทือกเขาบรรทัด อาศัยอยู่ในพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสตูล สงขลา พัทลุง ตรัง ยะลา และนราธิวาส 

   การจัด“โครงการชมวิถีชาวเล ยลเสน่ห์มานิ Charming of the Sea - Let’s see the Mountain 2025” ได้ถ่ายทอดเสน่ห์วิถีชีวิตของราษฎรชาติพันธุ์ชาวเลกลุ่มต่าง ๆ และมานิ ที่หาชมได้ยาก ให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสสัมผัสถึง วิถีความเป็นอยู่ ความเชื่อ วัฒนธรรมประเพณีของราษฎรชาติพันธุ์ชาวเล และมานิ อย่างใกล้ชิด ซึ่งจะนำพาให้ราษฎรชาติพันธุ์ชาวเล และมานิ ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิถีชีวิตชาติพันธุ์ชาวเลกลุ่มต่าง ๆ และมานิ อันจะเป็นการเปิดโลกทัศน์ ท่ามกลางบริบทการพัฒนาในยุคปัจจุบัน ตลอดจนส่งเสริมการเรียนรู้และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน รวมทั้ง ร่วมกันเผยแพร่ประชาสัมพันธ์วิถีชีวิตชาวเล และมานิที่เป็นมนต์เสน่ห์แห่งอันดามันและเทือกเขาบรรทัด และยังเป็น การเปิดโอกาสให้ราษฎรชาติพันธุ์ชาวเล และมานิได้มีพื้นที่ในการจัดจำหน่ายสินค้าร่วมกับเครือข่ายหรือประชาชนทั่วไป อันเป็นแนวทางสร้างรายได้ให้กับราษฎรชาวเล และมานิอีกช่องทางหนึ่งด้วย ฉะนั้นเราทุกคนจำต้องช่วยกัน ส่งเสริม และ สนับสนุนการดำเนินงานต่าง ๆ ให้กลุ่มชาติพันธุ์อยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนบนวิถีแห่งความเปลี่ยนแปลงบนโลกใบนี้ต่อไป 



   “โดยภายในงานมีกิจกรรมต่าง ๆ ที่น่าสนใจมากมายไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมเยือน ได้แก่ การแสดงนิทรรศการพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พลังที่ถูกส่งต่อจากภูเขาถึงทะเล การจัดแสดงบ้านจำลองวิถีชีวิตชาติพันธุ์ชาวเล และมานิการจัดแสดงผลิตภัณฑ์จากกลุ่มราษฎรชาติพันธุ์ รวมกว่า 80 ร้านค้า ทั้งของกิน ของใช้ เครื่องประดับ ของที่ระลึก เป็นต้น กิจกรรมส่งเสริมการขาย กับกิจกรรม“ลดแลกแจกแถม แหลงก็จ่าย หรอยก็จ่าย จ่ายให้เหม็ด” ที่ผู้เข้าร่วมงานจะได้รับสิทธิพิเศษจากการซื้อสินค้าภายในงาน ลุ้นรับ Gift Voucher มูลค่า 50 บาท หรือ 100 บาท ฟรีสามารถนำมาใช้แทนเงินสดเลือกซื้อสินค้าได้ตลอดการจัดงาน กิจกรรม Workshop ทำของที่ระลึก การแสดงศิลปวัฒนธรรมจากราษฎรชาติพันธุ์ชาวเล และมานิ พร้อมความบันเทิงสุดพิเศษกับ การแสดงคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดัง ลิลลี่ ได้หมดถ้าสดชื่น อานัส มิวสิครูม และหนังตะลุงน้องเดียว” นายกันตพงศ์ กล่าวทิ้งท้https://dsdw.go.th/าย 

   ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนและนักท่องเที่ยวร่วมสัมผัสประสบการณ์ท่องเที่ยวในมุมมองใหม่ ๆ ชมวิถีชาวเล ยลเสน่ห์มานิ กับงาน “Charming of the Sea - Let’s see the Mountain 2025” ได้ตั้งแต่ วันที่ 16 ไปจนถึงวันที่ 18 พฤษภาคม 2568 นี้ ตั้งแต่เวลา 10.00 - 22.00 น. ณ หาดบางสัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ : กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ https://dsdw.go.th/ และ Facebook Fanpage : กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ https://www.facebook.com/dsdwpr

วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

โอกาสเดียว โอกาสสุดท้ายเท่านั้น กับวาระหูเคลือบทองแห่งชาติ

การรวมตัว TOP VOCAL แห่งยุคกับ STAGE PERFORMANCE ระดับ MASTERPIECE “HER VERSE & HIS VOICE CONCERT” Written by AMP ACHARIYA

“HER VERSE & HIS VOICE CONCERT” Written by AMP ACHARIYA รวมตัวท็อปของวงการเสียงร้องไทย BILLKIN / F.HERO / NONT TANONT / POP PONGKOOL / PP KRIT / URBOYTJ และ NUNEW มาถ่ายทอดทุกเพลงจากปลายปากกาของ แอ้ม อัจฉริยา หรือที่ทุกคนรู้จักกันในนาม QUEEN OF T-POP และที่พิเศษยิ่งไปกว่านั้น ในคอนเสิร์ตครั้งนี้ยังมีบทเพลงใหม่ที่แต่งขึ้นมา เพื่องานนี้โดยเฉพาะ อย่างเพลง “Written by Love” ที่แอ้มเขียน ด้วยหัวใจเพื่อเป็นของขวัญให้คนดู ถ่ายทอดมุมมองของคนเขียน เพลงที่มักเล่าเรื่องแทนความรู้สึกที่ไม่กล้าพูดตรงๆ และศิลปินที่ ได้รับเลือกให้เป็นผู้ถ่ายทอดเพลงนี้ คือ “นนท์ ธนนท์” หนึ่งใน His Voice คนสำคัญของแอ้ม ที่สามารถสื่อสารความรู้สึกในเพลงนี้ออกมาได้อย่าง ละเมียดละไมและลึกซึ้ง ถือเป็นอีกหนึ่งความพิเศษที่เกิดขึ้นแค่บนเวทีนี้เท่านั้น

โอกาสเดียวในชีวิต ที่จะได้เห็นเวทีในฝันกลายเป็นจริง ใครรักเพลง รักศิลปิน ห้ามพลาดเด็ดขาด!ไม่เพียงแค่เพลงฮิตนับพันล้านวิวที่คุณ จะร้องตามได้ทุกคำ ทุกเพลงฮิตจะถูก REARRANGE ใหม่หมด และยังเต็มไปด้วยโชว์เซอร์ไพรส์บนเวทีที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน เซอร์ไพรส์จัดเต็มทั้งเพลงแลกเพลง ทั้งโชว์สลับบทบาท เพลงคู่สุดพิเศษที่จะเกิดขึ้นเฉพาะในคอนเสิร์ตนี้เท่านั้น! เพลงเศร้าจะยิ่งบาดใจ เพลงรักจะหวานจนแทบละลาย เพลงซึ้งจะซึมลึกกว่าที่เคย

 พบกับคอนเสิร์ตสุดยิ่งใหญ่ กับ 2 รอบการแสดง วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม 2568 และวันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน 2568 @ BITEC Live บัตรราคา 6,000 / 5,500 / 5,000 / 4,500 / 4,000 / 3,500 / 3,000 / 2,500 / 2,000 บาท เปิดขายบัตร วันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน 2568 เวลา 10.00 น. ทาง I HAVE TICKET

เติมรักกลางเทือกเขาหิมาลัย กับ 7 เหตุผลที่คู่รักควรไปฮันนีมูนที่ภูฏาน

อากาศเย็นตลอดทั้งปีที่ประเทศภูฏานจะเป็นโอกาสสุดเพอร์เฟ็คท์ให้คู่รักได้เติมความรัก และความอบอุ่นซึ่งกันและกัน ท่ามกลางบรรยากาศสุดโรแมนติกซึ่งมีเทือกเขาหิมาลัยเป็นฉากหลังอันตระการตา นอกจากภูฏานจะสามารถคงไว้ซึ่งวัฒนธรรม และวิถีชีวิตอันเรียบง่ายแสนงดงาม ประเทศแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยกิจกรรมอีกมากมายหลายประเภทที่เหมาะกับคู่รักซึ่งกำลังเริ่มต้นใช้ชีวิตด้วยกัน ลองดู 7 เหตุผลนี้ แล้วจะรู้ว่าทำไมภูฏานถึงเหมาะกับการฮันนีมูนมากที่สุด




1. เพราะเป็นดินแดนที่งดงามและเงียบสงบ
คนทั้งโลกรู้กันดีว่าภูฏานเป็น ‘ดินแดนแห่งความสุข’ ที่นี่เลยเหมาะกับคู่รักที่อยากหาที่พักผ่อนเงียบ ๆ ฟื้นฟูร่างกายหลังจากจัดงานแต่ง และได้ใช้เวลาแบบโรแมนติกร่วมกัน เนินเขาที่เรียงสลับคล้ายภาพวาด ศาสนสถานสมัยโบราณ และทัศนียภาพที่สวยตระการตาจะสร้างพลังบวกสำหรับการเริ่มต้นชีวิตคู่ ไม่ว่ากิจกรรมที่ทำร่วมกันจะเป็นการเดินสำรวจหมู่บ้านกลางหุบเขา หรือนอนฟังเสียงธรรมชาติ ภูฏานก็จะมอบช่วงเวลาแห่งความสุขอันสมบูรณ์แบบให้กับคุณได้

2. เพราะเป็นประเทศที่เที่ยวได้ตลอดทั้งปี   
ฤดูหนาวช่วงต้นปีจะสร้างบรรยากาศโรแมนติกด้วยฉากหิมะที่ปกคลุมเทือกเขา และการผิงไฟในบ้านพักแบบโฮมสเตย์ หลังจากนั้นอากาศจะเริ่มอุ่นขึ้นเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ท้องฟ้าแจ่มใส่ อากาศเย็นสบายตลอดวัน เหมาะแก่การถ่ายรูป และเดินป่าในเส้นทางที่ชอบ ส่วนคู่รักคู่ไหนที่รักสีเขียวชอุ่มของพืชพรรณ และวัตถุดิบท้องถิ่น ฤดูร้อนจะเป็นช่วงที่ผลิตผลทางการเกษตรออกผลให้ได้ลิ้มลองรสธรรมชาติ รวมถึงของป่าหายาก และยังมีเทศกาลเฉลิมฉลองให้เข้าร่วมอีกมากมาย

3. เพราะจะสร้างนิยามใหม่ของความโรแมนติก
ภูฏานไม่ได้มีแค่ธรรมชาติที่สวยงาม แต่ยังเต็มไปด้วยกิจกรรมที่จะสร้างรสชาติใหม่ของความรักให้กับคู่ของคุณ การเดินขึ้นเขาเพื่อไปยังวัดถ้ำเสือ (Tiger's Nest Monastery) ซึ่งตั้งอยู่ริมหน้าผาเป็นประสบการณ์ที่ห้ามพลาด เพราะจะเป็นช่วงเวลาที่คู่รักจะได้พิชิตเส้นทางศักดิ์สิทธิไปพร้อมกัน หรือจะเยือนพูนาคาซอง ป้อมปราการศักดิ์สิทธิซึ่งเคยเป็นศูนย์บัญชาการสำคัญซึ่งตั้งอยู่ในเมืองพูนาคา อดีตราชธานีของภูฏาน หรือจะเพิ่มดีกรีความตื่นเต้นในหุบเขาอันเงียบสงบของเมือง บุมทัง และ กังเตย์ ซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปจากเมืองหลวง เหมาะกับการใช้เวลาอยู่ร่วมกันสองต่อสองเป็นที่สุด

4. เพราะสามารถบอกรักกันและกันผ่านอาหารภูฏาน
ร้านอาหารในประเทศภูฏานจะอบอวลไปด้วยบรรยากาศโรแมนติกแสนเรียบง่าย อย่างเช่นที่ร้าน Folk Heritage Museum ที่นำเสนออาหารภูฏานแท้ มาพร้อมกลิ่นอายของประเพณี และวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม หรือที่ร้าน Babesa Village ซึ่งเสิร์ฟอาหารภูฏานแบบร่วมสมัยในบ้านเก่าอายุกว่า 600 ปี ส่วน Champaca Café ที่เมืองพาโร จะเป็นคาเฟ่เล็ก ๆ ตกแต่งได้น่ารัก เหมาะสำหรับนั่งพักระหว่างการเดินทาง หรือนั่งพูดคุยกันสองคนพร้อมจิบกาแฟกลิ่นหอม สำหรับใครที่อยากลองมื้อแบบมังสวิรัติ ต้องไปที่ร้าน Sonam Trophel และที่พลาดไม่ได้เลยก็คือร้าน Zombala เพราะเกี๊ยวนึ่ง และพริกผัดชีสของเขา อร่อยขึ้นชื่อจนกลายเป็นร้านที่คนท้องถิ่นแนะนำเป็นเสียงเดียวกัน

5. เพราะรวมสถานที่เที่ยวสุดประทับใจ ถ่ายรูปมุมไหนก็สวย
ใครที่กำลังมองหาสถานที่สำหรับฮันนีมูนเพื่อเก็บความทรงจำให้อยู่ในใจตลอดไป ภูฏานตอบโจทย์ในทุกข้อ เพราะภูมิประเทศในแต่ละจังหวัดมีความสวยงามที่แตกต่างกันไป เช่น จุดชมวิวโดชูล่า (Dochula Pass) ทางผ่านระหว่างไปเมืองพูนาคา ที่สามารถมองเห็นยอดเขาหิมะหลายแห่งซึ่งทอดตัวเรียงกันอย่างสวยงาม ส่วนสถานที่สุดโรแมนติกต้องยกให้เมืองพูนาคา ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงแรมระดับลักซ์ชูรีหลายแห่ง ได้ทั้งทิวทัศน์ของแม่น้ำ Mo Chhu และภูเขาอันเงียบสงบ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการถ่ายรูปในโมเม้นต์แสนโรแมนติก 

6. เพราะมีกิจกรรมผจญภัยสุดตื่นเต้นคู่รักคู่ไหนที่มาสายแอดเวนเจอร์ ก็มาใช้เวลาฮันนีมูนที่ภูฏานได้เหมือนกัน เพราะรวมกิจกรรมสุดตื่นเต้นให้เลือกทำได้มากมาย ตั้งแต่การล่องแก่งในแม่น้ำ Pho Chhu และ แม่น้ำ Mo Chhu พร้อมชมวิถีชีวิตสองข้างทาง และมองเห็นสะพานแขวนที่ประดับตกแต่งด้วยธงมนต์หลากสี ส่วนใครที่ฟิตร่างกายมาอย่างเต็มที่ต้องไม่พลาดเส้นทางเดินป่าสุดมันที่ Jomolhari และ Druk Path ซึ่งจะได้เห็นภูมิประเทศในมุมที่ต่างออกไป หลังเสร็จกิจกรรมแล้ว แนะนำให้ผ่อนคลายความเหนื่อยล้าด้วยการแช่น้ำหินร้อนสไตล์ดั้งเดิม ส่วนใครที่มองหาประสบการณ์ที่อยากทำสักครั้งในชีวิต ต้องลองเล่นพาราไกลดิ้งพร้อมกัน เพราะจะได้เห็นประเทศภูฏานในมุมสูง และได้เป็นหนึ่งในไม่กี่คู่รักที่เคยทำกิจกรรมนี้!

7. เพราะเป็นประเทศที่ความลักซ์ชูรีผสานกับวัฒนธรรมได้อย่างลงตัวหากเคยลองมาเข้าพักในรีสอร์ทระดับลักซ์ชูรีที่ประเทศภูฏาน ก็จะพบว่าทั้งการตกแต่ง และงานบริการได้สอดแทรกประเพณี และวัฒนธรรมของความเป็นภูฏานไว้อย่างลงตัว คู่รักสามารถเลือกดินเนอร์สุดโรแมนติกใต้แสงเทียน ปรนนิบัติร่างกายกับทรีตเมนต์ที่ใช้สมุนไพรท้องถิ่น หรือเลือกห้องพักซึ่งสามารถมองเห็นวิวได้แบบพาโนรามาสุดลูกหูลูกตา ไม่ว่าคุณจะเข้าพักในรีสอร์ทแบบไหน ก็มั่นใจได้เลยว่าทุกประสบการณ์จะเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ เหมาะสมกับการฮันนีมูนที่สุด

วิถีชีวิตอันเรียบง่ายที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติแสนยิ่งใหญ่ จะทำให้เวลาที่ประเทศภูฏานเดินช้ากว่าที่ไหน เปิดโอกาสให้ทุกคู่รักได้มีช่วงเวลาคุณภาพ ราชอาณาจักรแห่งนี้จะมอบทั้งความสุข ความเป็นส่วนตัว และความทรงจำที่ดี ให้ภูฏานเป็นส่วนหนึ่งของการเริ่มต้นชีวิตคู่ของคุณ และสร้างรอยยิ้มได้ทุกครั้งเมื่อนึกถึง

โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติ ๔๘ พรรษา ในพระราชูปถัมภ์ฯ จัดงาน“ย้อนวันวาน สานใจรัก”

ในวาระครบรอบ 23 ปี โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติ ๔๘ พรรษา ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และเนื่องในวันคล้ายวันเกิด ครบ 68 ปี ดร.สายสม วงศาสุลักษณ์ ผู้รับใบอนุญาต โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติ ๔๘ พรรษา ในพระราชูปถัมภ์ฯ

โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติ ๔๘ พรรษา ในพระราชูปถัมภ์ฯ จึงร่วมกับ มูลนิธิร่วม น้ำใจต้านภัยเอดส์ และ โรงแรมอมารี กรุงเทพ จัดงาน“ย้อนวันวาน สานใจรัก” ในวันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม 2568 เวลา 14.00 น. ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมอมารี กรุงเทพ เพื่อหารายได้เป็นค่าชุดนักเรียนและอุปกรณ์การเรียนแก่เด็กกำพร้าและด้อยโอกาสโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติ ๔๘ พรรษา ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น
ดร.สายสม วงศาสุลักษณ์ ผู้รับใบอนุญาต โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติ ๔๘ พรรษา ในพระราชูปถัมภ์ฯ เผยถึงความรู้สึกในวันเกิดปีนี้ของตัวเองว่า “เป็นความสุขมากๆ ของชีวิต ต้องขอขอบคุณครอบครัว คุณปรีชาและลูกๆทั้งสามคน ดร.ปณิธาร-ภญ.ปนชนก-ผศ.ดร.ปกเกศ ที่คอยกางแขนโอบอุ้มและสนับสนุนอยู่ข้างๆให้ดิฉันสามารถทำงานเพื่อสังคมได้อย่างสุดความสามารถและเต็มกำลังที่มีอยู่จนถึงวันนี้ งานวันเกิดครบรอบ 68 ปีจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากขาดการสนับสนุนจากผู้ใหญ่ที่นับถือ เพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่นับถือและคบหากันจนถึงวันนี้ เพราะท่านเหล่านี้มีส่วนช่วยเหลือในการบริจาคเงิน เป็นประจำอย่างต่อเนื่องทุกปี ทำให้งานในวันนี้เกิดขึ้น และที่สำคัญทำให้โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติ ๔๘ พรรษา ฯ เติบโตมาจนถึงทุกวันนี้”

ดร.สายสม กล่าวอีกว่า สำหรับโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติ ๔๘ พรรษา เดิมชื่อ โรงเรียนร่วมน้ำใจ เป็นโรงเรียนประจำหญิงล้วน ก่อตั้ง ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2545 โดยมูลนิธิร่วมน้ำใจต้านภัยเอดส์ มีตนเป็น ประธานมูลนิธิร่วมน้ำใจต้าน ภัยเอดส์ ร่วมกับกรรมการผู้ก่อตั้งมูลนิธิฯ ท่านอื่นๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับเด็กหญิงกำพร้าที่บิดา มารดา เสียชีวิตจากโรคเอดส์ เด็กที่ขาดผู้อุปการะเลี้ยงดูรวมถึงเด็กด้อยโอกาสจากทุกจังหวัดทั่วประเทศ ที่จบชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 เพื่อให้ได้รับการศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 เป็นโรงเรียนประจำกินนอนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้นซึ่งต้องใช้งบประมาณปีละ 25 ล้านบาท ซึ่งงบประมาณดังกล่าวได้มาจากผู้มีจิตเมตตาบริจาคทั้งสิ้นและทางโรงเรียนยังได้รับพระเมตตาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานความช่วยเหลือแก่ เด็กที่น่าสงสารเหล่านี้มาโดยตลอด ต่อมาในปี พ.ศ. 2546 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โปรดเกล้าฯพระราชทานนามให้โรงเรียนใหม่เป็น “โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติ ๔๘ พรรษา” ในวโรกาสทรงมี พระชนมายุครบ 48 พรรษา โดยเสด็จพระราชดำเนินเปิดอาคารเรียน เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2547 และเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2559 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงรับ โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติ ๔๘ พรรษา อยู่ในพระราชูปถัมภ์ โดยใช้คำว่า “ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี” ต่อท้ายชื่อโรงเรียน

ดร. สายสม กล่าวต่อว่า ทางโรงเรียนฯ จัดการเรียนการสอนด้านวิชาการตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานควบคู่กับการฝึกอบรม ด้านอาชีพให้แก่นักเรียนทุกคน เพื่อให้นักเรียนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันหรือนำไปประกอบอาชีพ ในอนาคตได้ เช่น การทำขนม การทอผ้า การประดิษฐ์ดอกไม้ การร้อยมาลัย การทำพานพุ่ม งานเซรามิค งานเสริมสวย และยังมีโครงการเศรษฐกิจพอเพียงในโรงเรียนตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เช่น การทำ เกษตรผสมผสาน การปลูกผักอินทรีย์ การปลูกข้าวไรซ์เบอรี่อินทรีย์ การปลูกพืชสมุนไพร การเลี้ยงหมู การเลี้ยงไก่ไข่ การเลี้ยงปลาดุก และการเพาะเห็ดนางฟ้า เป็นต้น
นอกจากจะได้รับการฝึกอบรมด้านงานอาชีพแล้ว นักเรียนบางกลุ่มยังมีความสนใจในการเล่นกีฬาและทำการฝึกซ้อมจนสามารถสร้างชื่อเสียงทางด้านกีฬาให้กับโรงเรียน อาทิ เรือพาย กรีฑา ซอฟท์บอล คริกเก๊ต วอลเล่ย์บอล และเซปรักตะกร้อ ซึ่งนักเรียนได้เข้าเป็นตัวแทนนักกีฬาเยาวชนแห่งชาติในกีฬาคริกเก๊ต ปัจจุบันมีนักเรียนทั้งสิ้นเกือบ 300 คน โดยมีครูและบุคลากรทั้งสิ้น 40 คน



สำหรับบรรยากาศงานวันเกิดในปีนี้ของดร.สายสม บรรดาแขกผู้ใจบุญในชุดแต่งกายย้อนยุค สีสันสดใส พากันมาร่วมงานอย่างคับคั่ง อาทิ กฤษฎา บุญราช ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทยและผู้อำนวยการสำนักงานบริหารกิจการเหล่ากาชาด สภากาชาดไทย และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ,หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการและ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ,วิทวัส ชัยภาคภูมิ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ,เชาวลิต ถิ่นสาคู ผู้จัดการโรงแรม อมารี กรุงเทพ เป็นต้น
ในงานมีการแสดงดนตรีโดยศิลปินนักร้องในระดับตำนาน จนถึงปัจจุบัน ได้แก่ ศิลปินแห่งชาติ แม่เม้า-สุดา ชื่นบาน ,ไพโรจน์ สังวริบุตร ,ครูเจี๊ยบ-นนทิยา จิวบางป่า ,น้องมินมิน ด.ญ.แพรไพลิน เสาธงยุติธรรม พร้อมด้วยศิลปินนักร้องจากรายการเดอะโกลเด้นซอง( The Golden Song ) ได้แก่ ภู -ภูริช ปริวิสุทธิ์,พลอย-พลอยไพลิน หาญนอก ,เมจิ-ภัทรานิษฐ์ เพฑูริยาเวทย์ ,บูม-วรากร ศาศวัตเตชะ ,ชมพู่-ภาพตะวัน ใบเจริญ ,ผิงผิง-สรวีย์ ธนพูนหิรัญ ,สิงห์-ดนุพงศ์ หลงสกุลณี ,บิ๊ก-จักริน จันทร์เป็ง พร้อมการแสดงแฟชั่นโชว์ชุดไทยราชนิยมยุคสมัยต่างๆของไทย ตั้งแต่ สุโขทัย อยุธยา กรุงธนบุรี และรัตนโกสินทร์ตั้งแต่ รัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 7 จาก สองห้องเสื้อชั้นนำ ลอร่า และ ดล สามหกห้า(Dol 365) กว่า 20 ชุด พร้อมเครื่องประดับทองแท้โบราณ ประเมินมูลค่าไม่ได้ จากร้านกรุช่าง ทั้งนายแบบนางแบบกิตติมศักดิ์ และอาชีพ อาทิ ดร.กัญญารัตน์ จงวิไลเกษม , พรรณกาญจน์ จงวิไลเกษม ,พรพิภัตร์ ทองจันทร์, ดร.เอกกฤต นารายณ์รักษา ,พรทิพย์ ห่านตระกูล , นิภา ศรีสันติธรรม ,สุณีย์ ราชฤทธิ์,ปิยะวัฒน์ เตชะปฎิมานนท์ ,นภฤชา โพธิสุข, ณัฐธภา นีน่า โพธิสุข,สุทัตตา โพธิสุข,ชาลิสา แจนิส เทียนโพธิ์สุวรรณ์,ดร.วิลาสินี ชัยวรรณ์, ชินดนัย มีชัย พิธีกรและผู้ประกาศข่าว, อาลิซาเบธ แซ๊ดเลอร์ ลีนานุไชย พิธีกรและผู้ประกาศข่าว, วิลาสินี จันทรวุฒิวงศ์ นางสาวไทยปี 2557 ,ณัฐนันท์ นารี Miss Asean Friendship 2017,สโนว์ ไวท์ นักแสดงค่าย GYB Entertainment ,ชลิดา สุทธิทศธรรม,อรยณัฎฐ์ อภิเจริญชัย ,ณัฐนนท์ เพชรรัตน์,อิทธิกร ทิพย์พญาชัย,ฮากีม ดลภาวิจิต ฯลฯ โดยมี บุ๋ม- ดร.ปนัดดา วงศ์ผู้ดี รับหน้าที่เป็นพิธีกรในงาน และ ปอนด์- ดร.รัฐวัชร์ พัฒนจิระรุจน์ เป็นพิธีกรภาคสนาม แต่งหน้าโดย ทีมฉัตรคอสเมติก และสถาบันเกตุวดี รับหน้าที่ทำผมนางแบบนายแบบ


ภายในงานยังมีการประมูลกระเป๋าหนังจระเข้ และ เข็มขัดหนังจระเข้ จากปัญญาฟาร์ม อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม จำนวนเกือบ 20 ชิ้นซึ่งมูลค่าประเป๋าและเข็มขัดที่นำมาประมูลมีตั้งแต่ราคาหลักหมื่นปลายๆ ถึงราคาหลักแสนบาท เพื่อนำรายได้ทั้งหมดสมทบเป็นค่าชุด นักเรียนและอุปกรณ์การเรียนแก่เด็กกำพร้าและด้อยโอกาสโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติ ๔๘ พรรษา ฯ อีกด้วย
สำหรับรายได้จากการจัดงานครั้งนี้ สูงถึง สามล้านบาท ผู้มีจิตศรัทธา ร่วมบริจาคเครื่องอุปโภค - บริโภค อาทิ ข้าวสาร สิ่งของ เครื่องใช้ เสื้อผ้า ชุดนักเรียน อุปกรณ์การเรียน เครื่องคอมพิวเตอร์ หรือบริจาคเป็นทุนทรัพย์ ท่านสามารถบริจาคเงินโดยวิธีการโอนเข้าบัญชี
-“มูลนิธิร่วมน้ำใจต้านภัยเอดส์” ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาสุขุมวิท 23 เลขที่ 204-1-09259-5
-โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติ 48 พรรษา ธนาคารกรุงเทพ สาขาบางกะปิ เลขที่ 105-4-71544-4
-โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติ 48 พรรษา (เงินบริจาค) ธนาคารกรุงไทย สาขาลำพูน เลขที่ 511-0-47135-5 หรือท่านสามารถติดต่อบริจาคได้ที่โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติ ๔๘ พรรษา ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยาม บรมราชกุมารี เลขที่ 5 หมู่ 9 ตำบลต้นธง อำเภอเมือง จงหวัดลำพูน 51000 โทรศัพท์ 053-092444 โทรสาร 053-092444

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ผนึกกำลังพันธมิตร จัดงาน MobilityTech Asia – Bangkok 2025

อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ผนึกกำลังพันธมิตร จัดงาน MobilityTech Asia – Bangkok 2025 ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ฮับเทคโนโลยียานยนต์ยั่งยืนแห่งเอเชีย 


อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์จับมือเครือข่ายอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งภาครัฐ และเอกชน จัดงาน MobilityTech Asia – Bangkok 2025 อย่างยิ่งใหญ่ เดินหน้าต่อยอดจากงาน Electric Vehicle Asia ที่ประสบความสำเร็จมากว่า 10 ปี เร่งเครื่องเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์สมัยใหม่ ทั้ง ยานยนต์ไฟฟ้า (EV), ยานยนต์อัจฉริยะ (Smart Mobility) และ โซลูชันพลังงานสะอาด ภายใต้แนวคิด “Shaping the Regional Innovation Hub for Sustainable Mobility” ร่วมขับเคลื่อนไทยสู่ศูนย์กลางเทคโนโลยี นวัตกรรมยานยนต์ยั่งยืนของภูมิภาค ขยายโอกาสทางธุรกิจ การลงทุน และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่มาตรฐานสากล ระหว่างวันที่ 2–4 กรกฎาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) กรุงเทพฯ



รศ.ดร.ยศพงษ์ ลออนวล ผู้ช่วยอธิการบดี ฝ่ายพัฒนาความยั่งยืน และ หัวหน้าศูนย์วิจัย Mobility and Vehicle Technology Research Center (MOVE) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี  (มจธ.) กล่าวว่า ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก เทคโนโลยีและนวัตกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) แต่ยังครอบคลุมถึงการผสานเทคโนโลยีอัจฉริยะในทุกมิติ ภายใต้แนวคิด CASE คือ การเชื่อมต่ออัจฉริยะ (Connected) ระบบขับขี่อัตโนมัติ (Autonomous) การใช้ทรัพยากรร่วมกัน (Shared) บนพื้นฐานแพลตฟอร์ม ยานยนต์ไฟฟ้า (Electric) ศูนย์วิจัย MOVE มจธ. มุ่งมั่นทำงานวิจัยและพัฒนาร่วมกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา และ ภาคประชาชน เพื่อช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่นวัตกรรมยานยนต์ที่ยั่งยืนและเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ รวมถึงยกระดับผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันในระดับสากล ในปีนี้ศูนย์วิจัย MOVE มจธ. มีความยินดีอย่างยิ่งที่เป็นหนึ่งในผู้ร่วมสนับสนุนการจัดงาน MobilityTech Asia – Bangkok 2025 (MTAB) และเรายังร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม Future MOVE Forum เวทีความรู้ระดับภูมิภาค ที่รวมผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก มาร่วมแบ่งปันความรู้ แนวโน้มเทคโนโลยี และนวัตกรรมล่าสุด ในประเด็นสำคัญ ได้แก่ การบูรณาการระบบโครงข่ายพลังงานกับยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle and Energy Grid Integration) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับยานยนต์พลังงานไฮโดรเจน (Hydrogen Vehicle and Infrastructure) เทคโนโลยียานยนต์อัตโนมัติและการเชื่อมต่อในระบบขนส่ง (Connected Autonomous Vehicles) การบริการด้านการเดินทางแห่งอนาคตและระบบนิเวศที่เกี่ยวข้อง (Next-Gen Mobility Services and Ecosystems) เป็นต้น เราเชื่อว่างาน MTAB ไม่เพียงเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมเรียนรู้และต่อยอดนวัตกรรม แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยและภูมิภาคสู่อนาคตการเดินทางที่ยั่งยืน

รศ.ดร.ยศพงษ์ ลออนวล ผู้ช่วยอธิการบดี ฝ่ายพัฒนาความยั่งยืน
และ หัวหน้าศูนย์วิจัย Mobility and Vehicle Technology Research Center (MOVE) 

นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กล่าวว่า กว่า 10 ปีที่เราเป็นผู้นำการจัดงานแสดงเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาค สู่การรีแบรนด์เป็นงาน MobilityTech Asia – Bangkok (MTAB) ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการต่อยอดความสำเร็จ และขยายขอบเขตการจัดงานให้ครอบคลุมในทุกมิติของเทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคต ไม่ว่าจะเป็น โครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ (Smart Infrastructure), ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Autonomous), บริการการเดินทางแบบครบวงจร (MaaS), ซอฟต์แวร์ และความมั่นคงทางข้อมูล (Cybersecurity) เป็นต้น ปีนี้จัดขึ้นภายใต้ธีม "Shaping the Regional Innovation Hub for Sustainable Mobility" หรือ “ขับเคลื่อนศูนย์กลางนวัตกรรมของภูมิภาค สู่อนาคตยานยนต์ยั่งยืน” อีกหนึ่งความแข็งแกร่งที่ทำให้งาน MTAB แตกต่าง คือ ความร่วมมืออันยาวนานกับ สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) ซึ่งเป็นหนึ่งพันธมิตรหลักของเราในการจัดงานมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการร่วมจัดประชุมนานาชาติอย่าง iEVTech Conference ที่เปิดเวที ร่วมอัปเดตนวัตกรรมและแนวโน้มสำคัญของอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังมีเวทีสัมมนาอีกมากมายที่ครอบคลุมทุกมิติ จากผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ Future Move Forum, ASEAN EV Round Table, EVAT Tech Forum เป็นต้น เจาะลึกเทรนด์นวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคต และแนวทางสู่ความยั่งยืนในภาคขนส่ง นอกจากนี้ยังรวบรวมแบรนด์ชั้นนำระดับโลกด้านเทคโนโลยียานยนต์กว่า 250 แบรนด์ อาทิ 24M, ROBERT BOSCH, BYD, FUJITSU, TOSHIBA, TESLA ENERGY และ TRUMPF เป็นต้น พร้อมด้วยพาวิเลียนนานาชาติ จาก จีน ฟินแลนด์ เยอรมนี ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ สวิตเซอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร ตอกย้ำบทบาทของงาน MTAB 2025 ในฐานะประตูสู่โอกาสใหม่ของอุตสาหกรรมยานยนต์เอเชีย คาดว่างานในปีนี้จะมีผู้เข้าชมงานกว่า 32,000 รายจาก 65 ประเทศทั่วโลก และงานนี้จะเป็นเวทีสำคัญในการผลักดันศักยภาพของประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางแห่งนวัตกรรมยานยนต์และระบบขนส่งอัจฉริยะที่ยั่งยืนของภูมิภาคอย่างครบวงจร



นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย

ร่วมพลิกโฉมวงการยานยนต์ของภูมิภาคไปกับงาน MobilityTech Asia – Bangkok 2025 จัดพร้อมกับงาน ASIA Sustainable Energy Week 2025 (ASEW) งานแสดงเทคโนโลยีพลังงานทดแทนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค เชื่อมโยงนวัตกรรมพลังงานสะอาดและเทคโนโลยียานยนต์ยั่งยืนไว้อย่างครบวงจร จัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-4 กรกฎาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) กรุงเทพฯ ติดตามข่าวสารเพิ่มเติม และลงทะเบียนเข้าชมงานได้ที่ www.mobilitytechasia-bkk.com

GIT เปิดเวทีประกวดออกแบบเครื่องประดับระดับโลก ครั้งที่ 19

GIT เปิดเวทีประกวดออกแบบเครื่องประดับระดับโลก ครั้งที่ 19 ชูแนวคิด ‘Future Elegance’ ปลุกพลังนักสร้างสรรค์ทั่วโลกสู่ความงามแห่งอนาคตในโลกที่ความคิดสร้างสรรค์คือหัวใจของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแห่งอนาคต สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ 

GIT เดินหน้าจัด "การประกวดออกแบบเครื่องประดับนานาชาติ ครั้งที่ 19 GIT’s World Jewelry Design Awards 2025" อย่างยิ่งใหญ่ ภายใต้แนวคิด “Future Elegance: Timeless Designs for Tomorrow” เชิญชวนนักออกแบบรุ่นใหม่ทั่วโลกร่วมตีความความงามในแบบที่เหนือกาลเวลา สู่ผลงานที่สะท้อนวิสัยทัศน์แห่งอนาคต และสามารถส่งต่อเป็น  “มรดกแห่งวันพรุ่งนี้”  ได้อย่างทรงพลัง

นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผอ.สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า "โครงการนี้ถือเป็นเวทีระดับนานาชาติที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมแสดงศักยภาพอย่างไร้ขีดจำกัด พร้อมสนับสนุนการต่อยอดสู่ภาคการผลิตจริงในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ ผ่านการผสมผสานแนวคิดสร้างสรรค์กับรากวัฒนธรรม วัสดุร่วมสมัย และนวัตกรรมใหม่ เพื่อออกแบบผลงานที่ทั้งงดงาม เปี่ยมความหมาย และตอบโจทย์ตลาดยุคใหม่

โดยเปิดรับสมัครแล้ววันนี้ถึง 31 พฤษภาคม 2568 ผู้สมัครสามารถส่งผลงานแบบวาดอย่างน้อย 3 ชิ้นในหนึ่งคอลเลกชัน ผ่านทางเว็บไซต์ www.gitwjda.com หรือส่งทางไปรษณีย์ "



ทั้งนี้ผลงานต้องไม่เคยเผยแพร่หรือผ่านการประกวดมาก่อน และสามารถออกแบบได้ทั้งแบบวาดมือหรือใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ผู้ชนะจะได้รับรางวัลเงินสดรวมมูลค่ากว่า 7,000 เหรียญสหรัฐฯ พร้อมโล่เกียรติยศ และโอกาสผลิตผลงานจริงร่วมกับภาคอุตสาหกรรม และจัดแสดงในนิทรรศการระดับนานาชาติ อีกหนึ่งไฮไลต์คือการประกวด GIT Popular Design 2025 เปิดให้ประชาชนร่วมโหวตผลงานแบบวาดที่ชื่นชอบจาก 30 ชิ้นที่ผ่านเข้ารอบ เพื่อคว้ารางวัลขวัญใจมหาชน

นอกจากนี้ GIT ยังเตรียมเซอร์ไพรส์สำหรับนักออกแบบ ในการเปิดแพลตฟอร์ม Design Gallery by GIT (designgallery.git.or.th) เพื่อเป็นช่องทางสำหรับนักออกแบบได้นำเสนอผลงานการออกแบบเครื่องประดับ สู่ผู้ประกอบการหรือผู้ซื้อ เพื่อเพิ่มช่องทางและโอกาสทางการค้าให้กับนักออกแบบโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอีกด้วย 

โครงการนี้คือโอกาสสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการเปิดตัวในวงการอัญมณีและเครื่องประดับระดับโลก พร้อมต่อยอดไอเดียสู่อนาคตของความงามอย่างแท้จริง

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สถาบัน GIT โทร. 02-634-4999 ต่อ 301-306, 311-313
หรือ 086-564-4666 (ในวันและเวลาราชการ)

ข่าวประชาสัมพันธ์

ซับคอนไทยแลนด์ 2025

ซับคอนไทยแลนด์ 2025 เสริมแกร่งซัพพลายเชนไทยด้วยเวทีจับคู่ธุรกิจอุตสาหกรรมระดับภูมิภาค จุดพลุโอกาสธุรกิจไทย พร้อมเดินหน้าสู่ภาคการผลิตยุคใหม่...

โวยวายดอทคอม