วันอังคารที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

AI เปลี่ยนโลกเร็วเกินคาด! สจล. แนะ ไทยต้องรู้เท่าทัน กล้ารับมือและมองเห็นโอกาส

สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ชี้คนไทยต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้ใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI)  มาเป็นนักวางกลยุทธ์ และต้องเรียนรู้ว่าอะไรควรป้อนให้ AI และออกแบบโมเดลธุรกิจให้ตอบโจทย์การทำงานในอนาคต เนื่องจาก AI กำลังเปลี่ยนโลกเร็วกว่าที่หลายคนคาดคิด เพราะไม่ใช่แค่เครื่องมืออัจฉริยะ แต่คือพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ศักยภาพเชิงยุทธศาสตร์  โดยจะเห็นว่ามีหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ในปัจจุบันทุ่มเงินลงทุนมหาศาลเพื่อแย่งชิงความได้เปรียบด้านข้อมูลและเทคโนโลยี ดังนั้น AI ในวันนี้จึงไม่ใช่แค่ข้อมูล (Data) แต่คือการถ่ายทอดองค์ความรู้ของมนุษย์ในทุกมิติ

รองศาสตราจารย์ ดร.ศิริเดช บุญแสง อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และกรรมการสมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย กล่าวว่า  ในปัจจุบัน AI มีขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีไปไกลมากเทียบเท่าคนที่จบวุฒิการศึกษาสูงๆ ที่มีประสบการณ์กว่า 20 ปี และกำลังทำหน้าที่แทนผู้เชี่ยวชาญในหลายอาชีพไม่เว้นแม้แต่แพทย์หรือวิศวกร ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะภายในเวลาไม่ถึง 5 ปีข้างหน้า จะเริ่มเห็นบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่าเกิน 1,000 ล้านดอลลาร์ แต่มีพนักงานเพียงคนเดียว ที่เหลือเป็นหุ่นยนต์หรือระบบ AI ทั้งหมด และในปัจจุบันเริ่มเห็นเค้าโครงแล้วในบางธุรกิจ โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำในปัจจุบันที่เน้นนำระบบอัตโนมัติมาทำงานเป็นหลักแทนแรงงานคน

ทั้งนี้ อาจกล่าวได้ว่าสงคราม AI จึงไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่คืออำนาจเชิงโครงสร้าง และการแข่งขันของมหาอำนาจ เช่น สหรัฐฯ และจีน ที่ทุ่มเงินระดับมหาศาล โดยบางบริษัทลงทุนสูงถึง 3 - 5 เท่าของ GDP ประเทศไทย ยกตัวอย่างล่าสุดการที่ Meta ซื้อผู้เชี่ยวชาญด้าน AI อย่าง Alexandr Wang และ Google ที่ลงทุนซื้อโรงงานไฟฟ้าเพื่อรองรับระบบประมวลผล AI 

AI ในปัจจุบันสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์มนุษย์ผ่านการจัดลำดับข้อมูล เช่น ระบบ RLHF (Reinforcement Learning with Human Feedback) โดยผู้พัฒนา AI ระดับโลกอย่าง OpenAI, Scale AI และบริษัทจากจีน ต่างถือข้อมูลขนาดใหญ่และมีทีมทำข้อมูลไลเบอริ่งเพื่อป้อน AI เสมือนว่า AI ไม่ได้แค่คิดได้ แต่มันดูดซับความรู้มนุษย์ ซึ่ง AI ไม่ใช่แค่ Data แต่คือการถ่ายโอนความรู้ทุกแขนง ดังนั้น คนไทยต้องเปลี่ยนจากการใช้ AI ตามใจมาเป็นการใช้ AI อย่างมีกลยุทธ์ และต้องรู้ว่าข้อมูลแบบไหนควรป้อน AI ขณะเดียวกันต้องคิด Business Model ให้เป็นว่าใครจะลงทุน ใครจะได้ประโยชน์ คือ เราต้องมอง Business Model ให้ออกว่า ใครคือลูกค้า ใครคือผู้ใช้ ใช้งบประมาณเท่าไร มีใครพร้อมจ่ายไหม เป็นต้น 

รองศาสตราจารย์ ดร.ศิริเดช บุญแสง  กล่าวด้วยว่า อาชีพที่กำลังถูก AI คุกคาม ได้แก่ โปรแกรมเมอร์ระดับเริ่มต้น นักผลิตสื่อ ที่ปรึกษา ไปจนถึงแพทย์อายุรกรรม ทั้งนี้จะเห็นว่า เมื่อก่อนนักโปรแกรมเมอร์คือฮีโร่ แต่วันนี้ทุกคนเขียนโค้ดได้เหมือนกันหมด โปรแกรมเมอร์จูเนียร์จะอยู่รอดไม่ได้ ถ้าไม่เพิ่มทักษะ หรือแม้กระทั่งแพลตฟอร์มอย่าง TikTok ก็ใช้ AI ในการผลิตคอนเทนต์ ดาราและนักแสดงบางรายถูกแทนที่ด้วย AI ที่สามารถร้อง เต้น และแสดงได้โดยไม่ต้องใช้คนจริง และAI เปลี่ยนทุกวัน และยิ่งใช้งาน ยิ่งก่งขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้มองว่า AI เป็นภัยคุกคาม แต่เป็นโอกาส เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คนธรรมดาสามารถเข้าถึงโอกาสทางธุรกิจได้ หากเข้าใจแม้เพียงพื้นฐาน ซึ่งสามารถสร้างแอปพลิเคชันของตัวเอง หรือออกแบบโมเดลธุรกิจใหม่ที่ไม่ต้องใช้คนจำนวนมาก  

โดยมีข้อเสนอแนะว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งพัฒนาความสามารถด้านคณิตศาสตร์เพื่อก้าวทันการพัฒนา AI และไม่ตกเป็นเพียงผู้ใช้แบบสะดวกเท่านั้น ทุกวันนี้ เวียดนามกับสิงคโปร์ เขาใช้คณิตศาสตร์พัฒนา AI ส่วนคนไทยยังใช้ AI แบบที่เราชอบ แต่มันไม่พาไปสู่อนาคต และน้องๆ นักศึกษา เราต้องเรียนรู้ และใช้AI อย่างชาญฉลาด เพื่อเพิ่มทักษะความรู้ไปเรื่อยๆ อย่าก๊อบ AI มาส่งการบ้าน เพราะนั่นคือการทำร้ายตัวเองถือเป็นการปิดกั้นการพัฒนาสมองและจะนำไปสู่การไม่เข้าใจจริงในระยะยาว 

“เราควรใช้ AI เพื่อมาพัฒนาตัวเอง โดยการเรียนรู้วิเคราะห์ไปกับสิ่งที่ AI ตอบกลับมา ไม่ใช่แค่นำ AI มาใช้ให้แค่งานจบๆ ไป เพราะนั่นคือสิ่งที่ทำร้ายตัวเรา” รองศาสตราจารย์ ดร.ศิริเดช กล่าวทิ้งท้าย

ผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและความเคลื่อนไหวของ สจล. ได้ทาง
Facebook: https://www.facebook.com/kmitlofficial 
และเว็บไซต์: https://www.kmitl.ac.th 
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-329-8000

DMT เปิดตัวโครงการนำร่อง“ทำนาลดคาร์บอน”ยกระดับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต

15 กรกฎาคม 2568 – ดร.ศักดิ์ดา พรรณไวย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) หรือ DMT แถลงข่าวเปิดตัวโครงการนำร่องเพื่อความยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “Tollway Better Way – ยกระดับคุณภาพชีวิต” และ “Tollway Green Way – ยกระดับสิ่งแวดล้อมและสังคม” โดยโครงการดังกล่าวมุ่งเน้นการส่งเสริมการทำนาแบบลดการใช้น้ำ (Alternate Wetting and Drying: AWD) เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษทางอากาศ โดยเริ่มดำเนินงานในพื้นที่ต้นแบบ 20 ไร่ ที่ตำบลวัดยม อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมทั้งสนับสนุนเกษตรกรรมปลอดสารเคมี เสริมสร้างความสัมพันธ์ในชุมชน และวางรากฐานด้านเศรษฐกิจให้กับเกษตรกร ณ ทับขวัญรีสอร์ท แอนด์ สปา จ. นนทบุรี

DMT เปิดตัวโครงการนำร่อง “ทำนาลดคาร์บอน” ยกระดับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตเสริมความยั่งยืนด้วยเทคโนโลยีและเป้าหมายเชิงสิ่งแวดล้อม

ดร.ศักดิ์ดา พรรณไวย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) หรือ DMT  เปิดเผยว่า DMT ดำเนินธุรกิจโดยยึดหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน มีการจัดทำบัญชีคาร์บอนขององค์กร (CFO) และแผนลดคาร์บอน (Decarbonization Roadmap) โดยในปี 2565 มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 3,463 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี พร้อมตั้งเป้าเป็นองค์กร Carbon Neutral ภายในปี 2050 และเริ่มติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อลดการปล่อยก๊าซ CO₂e ได้กว่า 348 ตันต่อปี นอกจากนี้ DMT ยังได้รับการประเมิน SET ESG Ratings ระดับ “AA” ในกลุ่มธุรกิจบริการจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตั้งเป้าภายในปี 2568 ที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวก 3 ด้าน ได้แก่ สิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ ร่วมกับพันธมิตรภาครัฐ เอกชน และชุมชนโดยรอบ


พันธมิตรผนึกกำลังขับเคลื่อนโครงการต้นแบบ โครงการ “ทำนาลดคาร์บอน” ดำเนินการโดยบริษัท เนตซีโรคาร์บอน จำกัด ผู้พัฒนาโครงการ พร้อมความร่วมมือจากบริษัท สไปโร คาร์บอน จำกัด ผู้ให้บริการระบบติดตามและประเมินผลแบบดิจิทัล (dMRV) ที่ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อตรวจวัดผลการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างแม่นยำ


ในภาพจากซ้ายไปขวา
1) เกษตรกรนาลดคาร์บอน ลุงเล็ก นายสุภณ ทองไพสิฐ
2) ดร.ศักดิ์ดา พรรณไวย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน)
3) นายธนนนท์ เตรียมชาญชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เนตซีโรคาร์บอน จำกัด
4) นายพินิจ เข็มทอง เกษตรกรนาลดคาร์บอน


นายธนนนท์ เตรียมชาญชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เนตซีโรคาร์บอน จำกัด กล่าวเสริมว่า
ปัจจุบันกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมกำลังผลักดัน NBS (Nature Based Solutions) เป็นการนำเอาทรัพยากรในระบบนิเวศน์ที่มีอยู่แล้วมาฟื้นฟูเพื่อแก้ปัญหาสังคม เช่น การทำนาแบบเปียกสลับแห้ง (AWD) มาตอบโจทย์ในภาคเกษตร การทำนาโดยปรับเปลี่ยนสังคมในหลายมิติ เพื่อลดปัญหาโลกร้อน เช่นการลดการใช้น้ำ การลดการปล่อยก๊าซมีเทน ลดฝุ่นควัน เพิ่มความเท่าเทียมทางเพศ ตลอดจนการสร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกร และพัฒนาทักษะความรู้

การใช้วิธี AWD ช่วยลดการใช้น้ำ เพิ่มผลผลิต และลดการปล่อย PM2.5 และก๊าซเรือนกระจก โดยจะช่วยให้เกษตรกรในพื้นที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ผ่านการทำนาวิธีนี้ และระบบ dMRV นี้เองคือหัวใจสำคัญในการสร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือในระดับสากล เพราะข้อมูลสามารถตรวจสอบได้จากดาวเทียมและ AI ในการนำไปใช้จัดทำรายงานคาร์บอนเครดิตในอนาคต

วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ร่วมสัมผัสค่ำคืนแห่งสีสันและเสน่ห์ของจังหวะละตินใจกลางกรุงเทพฯ กับ DJ Henry Knowles

ณ อาร์บาร์ (R Bar) โรแรมเรเนซองส์ กรุงเทพฯ ราชประสงค์  

โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพฯ ราชประสงค์ ขอเชิญชวนทุกท่านที่หลงใหลในเสียงเพลงและจังหวะการเต้น ร่วมสัมผัสค่ำคืนสุดพิเศษในงาน Latin Night at R Bar ที่จะนำพลังแห่งความมีชีวิตชีวาและเสน่ห์ของดนตรีละตินมาสู่ใจกลางกรุงเทพฯ เริ่มตั้งแต่วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน 2025 เป็นต้นไป

ทุกค่ำคืนวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 20.00 น. เป็นต้นไป อาร์บาร์ (R Bar) จะถูกเนรมิตให้กลายเป็นจุดนัดพบใหม่แห่งจังหวะสุดเร่าร้อน นำโดยไฮไลต์การแสดงสดจาก ดีเจ Henry Knowles ราชาแห่งวงการดนตรีละตินระดับโลก ผู้คร่ำหวอดในวงการมากกว่า 85 ประเทศทั่วโลก เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ การันตีด้วยประสบการณ์การแสดงร่วมกับศิลปินชื่อดังระดับโลก อาทิ Jennifer Lopez, Marc Anthony และ Celia Cruz ที่จะมาร่วมสร้างปรากฏการณ์ความสนุกสุดมันส์ให้กับย่านราชประสงค์ เพื่อเติมเต็มประสบการณ์ยามค่ำคืนอย่างสมบูรณ์แบบ แขกทุกท่านสามารถเข้าร่วม คลาสเต้นละตินฟรี โดยทีมผู้เชี่ยวชาญจาก Rumpuree World Dance Studio ตั้งแต่เวลา 20.00 – 21.00 น. พร้อมเรียนรู้และสนุกไปกับสเต็ปแดนซ์ละติน ในค่ำคืนแห่งความมันส์อย่างเต็มรูปแบบ 



ปิดท้ายความสนุกด้วยเมนู เครื่องดื่มค็อกเทลและของว่างสุดพิเศษ ในราคาสุดคุ้ม ตลอดทั้งคืน ให้ทุกท่านได้อิ่มเอมทั้งรสชาติและบรรยากาศอย่างเต็มอรรถรส ณ อาร์บาร์ (R Bar) ชั้นล็อบบี้ โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพฯ ราชประสงค์

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือสำรองที่นั่ง โทร. 02.125.5000
หรือคลิก https://www.facebook.com/share/1Bwhd5cb9g/

BONCAFE THAILAND ชวนคอกาแฟ มา สัมผัสกาแฟออร์แกนิกและนมทางเลือก

BONCAFE THAILAND ชวนคอกาแฟ มา สัมผัสกาแฟออร์แกนิกและนมทางเลือก พร้อมนวัตกรรมใหม่ ครบเครื่อง บด ปั่น ชง ในงาน Coffee Fest 2025

พบการกลับมาของ บอนกาแฟ (ประเทศไทย) อีกครั้งในงาน Thailand Coffee Fest 2025 ชวนสัมผัสนวัตกรรมใหม่ พบกาแฟออร์แกนิก และกาแฟที่ได้รับเครื่องหมายรับรอง Rainforest Alliance Certified และนมทางเลือกใหม่ สำหรับบาริสต้าโดยเฉพาะ ตอบโจทย์ครบทุกเรื่อง บด ปั่น ชง 10-13 กรกฎาคม 2568 ที่บูธ J01 อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ ฮอลล์ 7 เมืองทองธานี


เทรนด์กาแฟในปี 2025 ที่คำนิยามกาแฟไม่ได้กำจัดอยู่แค่เครื่องดื่มปลุกความสดชื่น และคอกาแฟก็ไม่ได้มองหาแค่ความอร่อย แต่ยังมองหาสิ่งที่ส่งเสริมสุขภาพที่ดีในระยะยาว และเพื่อความยั่งยืนด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม เช่นเดียวกับ บริษัท บอนกาแฟ (ประเทศไทย) จำกัด (BONCAFE THAILAND) ที่คัดสรรและให้ความสำคัญกับแหล่งที่มาของกาแฟ รวมถึงกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมุ่งมั่นส่งเสริมความเป็นธรรมต่อภาคการเกษตร ซึ่งบอนกาแฟ ประเทศไทย (BONCAFE THAILAND) จึงถือโอกาสนี้พาไปสัมผัส นวัตกรรมใหม่จากบอนกาแฟ พบกับกาแฟออร์แกนิก และกาแฟที่ได้รับเครื่องหมายรับรอง Rainforest Alliance Certified และนมทางเลือกใหม่ สำหรับบาริสต้าโดยเฉพาะ ซึ่งจัดขึ้นภายในงาน Thailand Coffee Fest 2025 : Drink Better Coffee เทศกาลกาแฟที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระหว่างวันที่ 10 - 13 กรกฎาคม 2568 ที่อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น เซ็นเตอร์ ฮอลล์ 7 เมืองทองธานี

คุณอุษาพรรณ อินทีวรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท บอนกาแฟ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในปี 2025 นี้ นับเป็นการกลับมาอีกครั้งของบอนกาแฟ ที่ได้เข้าร่วมเทศกาล Thailand Coffee Fest และยินดีต้อนรับทุกท่านกลับสู่โลกของบอนกาแฟอย่างอบอุ่น ซึ่งทางบอนกาแฟ มองเห็นว่า คอนเซ็ปต์ของงาน Thailand Coffee Fest ในปีนี้คือ Drink Better Coffee สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มกาแฟของบอนกาแฟ ที่เป็นกาแฟออร์แกนิก และกาแฟ Rainforest เมล็ดกาแฟคั่วระดับพรีเมียม จากฟาร์มที่ได้รับการรับรองจาก Rainforest Alliance ที่มีแหล่งเพาะปลูกในพื้นที่เขตอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ไม่รุกล้ำพื้นที่ป่า ช่วยลดการตัดไม้ทำลายป่า และอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ให้รสชาติที่กลมกล่อม พร้อมส่งเสริมอนาคตที่ยั่งยืน โดยมีสัญลักษณ์ หรือโลโก้ “กบต้นไม้ตาแดง” (Red-Eyed Tree Frog) เป็นเครื่องหมายรับรองมานานกว่า 30 ปี เพราะกบคือสัตว์ที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า ตัวชี้วัดสุขภาพของธรรมชาติ ถ้าในพื้นที่ไหนมีกบจำนวนมาก บ่งชี้ว่าสิ่งแวดล้อมบริเวณนั้นยังสมบูรณ์ แต่ถ้ากบเริ่มหายไป ก็อาจเป็นสัญญาณว่าสิ่งแวดล้อมโลกกำลังมีปัญหาหรือไม่ ซึ่งตรงกับความมุ่งมั่นของทางบอนกาแฟที่ดำเนินธุรกิจด้วยความยั่งยืนตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้า


ส่วนทางเลือกสำหรับสายสุขภาพ คือ นมทางเลือกใหม่ The Alternative Dairy Co. จากออสเตรเลีย ที่มีถึง 3 รสชาติให้เลือก ได้แก่ นมโอ๊ต, นมอัลมอนด์ และ นมถั่วเหลือง ซึ่งได้รับการพัฒนามาจากบาริสต้าเพื่อบาริสต้าโดยเฉพาะ สตรีมฟองได้เนียนไม่แพ้นมวัว เหมาะกับการผสมเครื่องดื่มทั้งเมนูร้อน และเย็น  ไม่กลบกลิ่นแต่ช่วยเสริมรสชาติเครื่องดื่มให้ดียิ่งขึ้น  สตีมฟองนมได้เนียน   จึงเหมาะสำหรับการเทลาเต้อาร์ต เพราะฟองนมจะคงตัวได้นาน เพิ่มความอร่อยให้กับเครื่องดื่มมากยิ่งขึ้น หรือแม้แต่ทานเปล่าๆ ก็อร่อย

ภายในงาน ยังได้รับเกียรติจากแขกรับเชิญ และผู้เชี่ยวชาญที่มาร่วมถ่ายทอดความรู้ อาทิ คุณเบียร์ เจ้าของร้าน Pob Coffee & Living Space, คุณนุ่น - ณัฏฐ์รดา คุณะวิวัฒนานนท์ La Marzocco In-country Representative, คุณโบซ - วุฒิกร ผู้เชี่ยวชาญด้านดีไซน์, คุณเบนซ์ เจ้าของร้าน Velo, คุณผึ้ง – สุกาญจน์มณี คนกล้า แชมป์ตำแหน่ง Winner CP-Meji Barista 2016 และคุณดรรชนี คุณาวิชยานนท์ กรรมการผู้จัดการบริษัท มีวนา จำกัด พาร์ตเนอร์ด้านกาแฟออร์แกนิก จาก Mivana Organic Forest Coffee

ขณะที่ กิจกรรมเสริมความรู้ และเล่นเกมสนุกสนาน มีการนำวงล้อมาหมุนเพื่อทดสอบความสามารถของบาริสต้า และโชว์ศักยภาพการสตรีมฟองนมให้เนียนและวาดลวดลาย พร้อมทั้งเปิดมุมมองของบาริสต้า และ คุณพูน - รัชนนท์ เทพบุตร เจ้าของร้าน poonypoonycoffee ที่มาร่วมแชร์เรื่องราวการใช้ นมทางเลือกใหม่ The Alternative Dairy Co

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมเวิร์กชอปที่เกี่ยวกับกาแฟ อาทิ ความยั่งยืนในอุตสาหกรรมกาแฟ และเครื่องหมายรับรอง Rainforest Alliance Certified และมีการสาธิตทำเครื่องดื่ม โดย คุณนุ – ดนุวัชร์ อินโต The Winner Andros Asia Fruit Master Challenge 2023 และ กิจกรรมเวิร์กชอปด้านนวัตกรรม อาทิ เครื่องชงกาแฟ เครื่องบด เครื่องปั่น และอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ นั้น ที่น่าสนใจคือ แบรนด์ยูเรก้า (Eureka) เป็นการเปิดตัวเครื่องบดกาแฟรุ่น Mignon Pisa ครั้งแรกในไทย รวมถึงมีการสาธิตเครื่องรุ่นอื่น ๆ  เช่น เครื่องบดกาแฟยูเรก้า Firenze 75, 85, 85 (Black Diamond), Atom W65, W75 โดย คุณอาร์ม – กิตตินันท์ บุญเปี่ยม บาริสต้าและอินฟลูเอนเซอร์ รวมถึงแบรด์อื่น ๆ อีกมากมาย อาทิ Mahlkonig, La Marzocco, Blendtec, Latte Art Factory, Cafematic H-Series และ Carimali Glow โดยหลังจากเวิร์ชอปในทุก ๆ ครั้ง จะได้ทดลองสัมผัสเครื่องจริง และมีผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคคอยให้ข้อมูลอย่างครบถ้วน


สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถสอบถามข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ Boncafe Showroom ทุกสาขาทั่วประเทศ
หรือเลือกชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.boncafe.co.th

วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

สหฟาร์ม เดินหน้ายกระดับสู่ความยั่งยืน ขับเคลื่อนโครงการ GO Green อย่างเป็นรูปธรรม


สหฟาร์ม เดินหน้ายกระดับสู่ความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม ติดตั้งโซลาร์เซลล์ร่วม WHAUP พร้อมทดสอบระบบ EV หนุนองค์กรก้าวสู่อนาคตพลังงานสะอาด โชว์แผนลดต้นทุนพลังงานจาก 260 ล้านบาทต่อเดือน เผยแนวคิดสอดคล้องวิสัยทัศน์ผู้นำ “เติบโตเคียงคู่สิ่งแวดล้อม”

บริษัท สหฟาร์ม จำกัด ผู้นำการผลิตและส่งออกไก่ครบวงจรอันดับ 1 ของประเทศไทย ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด “การเติบโตที่ยั่งยืนควบคู่สิ่งแวดล้อมและชุมชน” ด้วยการเดินหน้าขับเคลื่อนโครงการ GO Green อย่างเป็นรูปธรรม โดยร่วมมือกับ บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) – WHAUP ผู้นำด้านโซลูชันพลังงานครบวงจร ในการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์จำนวน 14 โครงการทั่วทั้งเครือข่ายโรงงานและฟาร์มของสหฟาร์ม

ดร. จารุวรรณ โชติเทวัญ ประธานสายการตลาดต่างประเทศ ประธานสายบัญชีและการเงิน และเลขานุการคณะกรรมการบริหาร บริษัท สหฟาร์ม จำกัด เปิดเผยว่า “การติดตั้งโซลาร์เซลล์ร่วมกับ WHAUP ไม่ใช่เพียงการลดต้นทุนพลังงาน แต่เป็นก้าวยุทธศาสตร์ขององค์กร ในการปักหมุดสู่อนาคตที่ยั่งยืน ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และความรับผิดชอบต่อชุมชน โครงการนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ของผู้นำรุ่นใหม่ ที่มองว่าองค์กรในวันนี้ต้องไม่เพียงแค่สร้างกำไร แต่ต้องสร้างคุณค่าให้กับโลกใบนี้ในระยะยาว”

“การจับมือ WHAUP เป็นพันธมิตรในโครงการ GO Green ครั้งนี้ สะท้อนความเชื่อมั่นของสหฟาร์มในมาตรฐานระดับสากลขององค์กรพันธมิตร โดยทั้งสองบริษัทต่างมีเป้าหมายร่วมกันในการผลักดันพลังงานสะอาดให้เป็นกลไกสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง” ดร.จารุวรรณ กล่าว




โครงการโซลาร์พลังงานสะอาดเฟสแรกของสหฟาร์ม ได้ดำเนินการแล้วเสร็จจำนวน 9 โครงการจากทั้งหมด 14 โครงการ คิดเป็นกำลังการผลิตติดตั้งรวมกว่า 46,473.59 กิโลวัตต์พีก (kWp) ด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์กว่า 67,000 แผง คาดว่าจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้กว่า 46.8 ล้านหน่วยต่อปี ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนลงกว่า 35,089 ตัน/ปี หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ถึง 1.9 ล้านต้น ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการเฟส 2 ขนาด 6 เมกะวัตต์ พร้อมแผนการขยายเฟส 3 ต่อเนื่อง

ปัจจุบัน สหฟาร์มมีค่าไฟฟ้าเฉลี่ยสูงถึง 260 ล้านบาทต่อเดือน โครงการนี้ช่วยลดการใช้พลังงานลงได้ราว 30% คิดเป็นเงินประหยัดมากกว่า 100 ล้านบาทต่อปี และคาดว่าจะประหยัดรวมได้ถึง 1,600 ล้านบาทภายใน 14 ปี ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อยอดโอกาสทางธุรกิจด้านพลังงานสะอาดในอนาคต


ในขณะเดียวกัน สหฟาร์มและบริษัทในเครือ โกลเด้น ไลน์ บิสซิเนส จำกัด (GLB) ยังได้ขยายขอบเขตของโครงการ GO Green ไปยังมิติอื่น ๆ อย่างครอบคลุม เช่น การวางระบบบำบัดน้ำเสียที่ทันสมัยบนพื้นที่กว่า 1,000 ไร่ เพื่อให้น้ำที่ปล่อยกลับสู่ธรรมชาติไม่มีผลกระทบต่อแหล่งน้ำในชุมชน การปลูกต้นไม้เป็นแนวกันชนรอบโรงงานกว่า 1 ล้านต้น เพื่อเพิ่มออกซิเจนในอากาศ ลดเสียง ฝุ่น และความร้อน รวมถึงการส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ

ในด้านพลังงานทดแทนอื่นๆ สหฟาร์มยังศึกษาการใช้ พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานชีวมวล (Biomass) มาทดแทนเชื้อเพลิงถ่านหินในระบบ Hot Oil Boiler ของโรงงานแปรรูป พร้อมทั้งริเริ่มทดลองใช้ รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า (EV) แทนรถดีเซล โดยหากผลการทดลองประสบความสำเร็จ องค์กรมีแผนทยอยเปลี่ยนรถในระบบโลจิสติกส์กว่า 50 คันให้เป็น EV ภายในปี 2569

“โครงการ GO Green คือหัวใจของการเดินหน้าสู่อนาคตที่ยั่งยืนของสหฟาร์ม เราไม่ได้เพียงมุ่งเน้นผลประกอบการ แต่ต้องการเป็นองค์กรต้นแบบที่สามารถส่งมอบคุณค่าทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน” ดร. จารุวรรณ กล่าวทิ้งท้าย

ทั้งนี้ พิธีส่งมอบพลังงานไฟฟ้าอย่างเป็นทางการจากโครงการโซลาร์เซลล์ จะจัดขึ้นในวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 ณ โรงงานแปรรูปของสหฟาร์ม จ.เพชรบูรณ์ และ จ.ลพบุรี โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากทั้งสหฟาร์มและ WHAUP เข้าร่วม เพื่อร่วมประกาศจุดยืนครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมอาหารไทย ในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด และเป็นต้นแบบของธุรกิจที่เติบโตควบคู่กับการดูแลโลกใบนี้อย่างแท้จริง

วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

“คิทโด้” วิตามินเม็ดเคี้ยว เสริมภูมิคุ้มกัน เพิ่มพลังสมองและสายตา

“คิทโด้” วิตามินเม็ดเคี้ยว เสริมภูมิคุ้มกัน เพิ่มพลังสมองและสายตาที่ดีของน้องๆ โปรสุดคุ้ม 1 แถม 1 ซอง ซื้อได้ที่เซเว่น อีเลฟเว่น ทุกสาขา

กรกฎาคมนี้ ฝนยังตกชุก เด็กๆ เสี่ยงเป็นหวัดได้ง่ายหากโดนฝนบ่อย บริษัท บีไชน์ นูทริชั่น พลัส จำกัด จัดโปรโมชั่นสุดคุ้ม “คิทโด้” แบบซอง ซื้อ 1 แถม 1 ที่น่าซื้อเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ไปตุนติดบ้านให้น้องๆ หนูๆ ซึ่ง “คิทโด้” วิตามินชนิดเคี้ยว มี 2 สูตร 2 รสชาติ รสส้ม เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัด และรสมิกซ์เบอร์รี่ บำรุงสมองและระบบประสาท และบำรุงสายตา ในแต่ละสูตรมีประโยชน์ต่อเด็กในหลายด้าน อุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นครบถ้วนที่ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการของน้องๆ หนูๆ 

“คิทโด้” 1 ซอง บรรจุ 12 เม็ด แถมฟรีอีก 3 เม็ด (แถมในซอง) รวมเป็น 15 เม็ด/ซอง จัดโปรโมชั่นสุดคุ้ม “1 แถม 1” คละรสชาติได้ เพียง 49 บาท จากปกติ 98 บาท และสมาชิก All Member ลดอีก 1 บาท เหลือเพียง 48 บาท สุดคุ้มมาก สามารถซื้อได้ตั้งแต่วันนี้ - 23 กรกฎาคม 2568 ที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทุกสาขาทั่วประเทศ คิทโด้ วิตามินเม็ดเคี้ยว ทานง่าย รสชาติอร่อย ทำให้เด็กๆ ชื่นชอบ สะดวกพกพา เหมาะสำหรับพกพาไปทานได้ทุกที่ทุกเวลา 

“คิทโด้ ไอมู อะเซโรลา ซี พลัส มัลติวิตามิน” (KITDO IMU Acerola C Plus Mutivitamin) วิตามินเม็ดเคี้ยว รสส้ม เสริมภูมิคุ้มกัน มีส่วนผสมของวิตามินซีจากธรรมชาติ อะเซโรลา เชอรี่ สกัด นำเข้าจากสวิตเซอร์แลนด์ ผสานกับ ซิตรัส ไบโอฟลาโวนอยด์, ซิงค์ และวิตามินรวม 13 ชนิด เพื่อเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันการติดเชื้อหวัด ช่วยลดโอกาสการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียหลายชนิด ลดอาการภูมิแพ้ และป้องกันการขาดวิตามินในร่างกาย เพิ่มความแข็งแรง 

“คิทโด้ โปร ดีเอชเอ พลัส บิลเบอร์รี่” (KITDO Pro DHA plus Bilberry) วิตามินเม็ดเคี้ยว รสมิกซ์เบอร์รี่ บำรุงสมองและสายตาที่ดี มีส่วนผสมของน้ำมันปลาทูน่าบริสุทธิ์ นำเข้าจากออสเตรเลียที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ผสานกับโคลีน ที่ช่วยเพิ่มสารสื่อนำประสาท พร้อมด้วย แอล-ไลซีน และ วิตามินบีรวม 7 ชนิด และผสานกับสารสกัดจากบิลเบอร์รี่, เบอร์รี่รวม 3 ชนิด และวิตามินเอ เพื่อการดูแลสมองและสายตา เสริมสร้างการทำงานของระบบประสาทและสมอง บำรุงสายตา ช่วยในการมองเห็น ลดอาการตาแห้ง ลดความอ่อนล้าจากการใช้สายตาเป็นเวลานาน เช่น อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เล่นมือถือและไอเพคนานๆ 

วิธีรับประทาน แนะนำให้รับประทานคิทโด้ เคี้ยวสูตรละ 1-3 เม็ดต่อวัน เพื่อให้ร่างกายได้รับปริมาณสารอาหารและวิตามินครบถ้วนในแต่ละวัน อร่อยดีมีประโยชน์ ปลอดภัย มีงานวิจัยรองรับ ได้รับการรับรองจาก อย. ประเทศไทย และผลิตจากโรงงานที่ได้มาตรฐาน ทานง่าย หอมกลิ่นผลไม้ ไม่เติมน้ำตาล ไม่ใส่สารกันเสีย เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัว 

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมของ “คิทโด้” ทั้ง 2 สูตร 2 รสชาติ ได้ที่เว็บไซต์ www.bshine.co.th/kitdo/ 
ติดตามสารข่าวกิจกรรมและโปรโมชั่นพิเศษได้ที่ FB : https://www.facebook.com/kitdoclub 
และ Line : @Kitdo

Thailand Wellness & Healthcare Expo 2025 อวดศักยภาพธุรกิจสุขภาพไทยจับคู่ธุรกิจ

Thailand Wellness & Healthcare Expo 2025 อวดศักยภาพธุรกิจสุขภาพไทยจับคู่ธุรกิจ 191 คู่  สร้างมูลค่ากว่า 377 ลบ. หนุนเงินสะพัดในงานเฉียด 500 ลบ.พีเอ็มจีส่งท้ายอีเว้นท์สุขภาพกลางปี Thailand Wellness & Healthcare Expo 2025 สุดปัง  ธุรกิจสุขภาพ  เครื่องมือแพทย์ เวชภัณฑ์ อาหารเสริม อุปกรณ์ฟิตเนส เทคโนโลยีทางการแพทย์ อาหารเพื่อสุขภาพ สปา  และเวลเนส ปลื้มคนสนใจเชื่อมโยงต่อยอดธุรกิจล้นหลาม ทั้งแพทย์  นักวิจัย นักธุรกิจ นักลงทุน  ตลอดจนคนสนใจเรื่องสุขภาพรวมกว่า 25,000 ราย  เจรจาจับคู่ธุรกิจทั้งในและต่างประเทศรวม 191 คู่  สร้างมูลค่ากว่า 377 ล้านบาท  หนุนยอดเงินสะพัดในงานเฉียด 500 ล้านบาท

นางสาวณรินณ์ทิพ  วิริยะบัณฑิตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีเอ็มจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้จัดงาน Thailand Wellness & Healthcare Expo 2025 กล่าวสรุปปิดงานว่า "งาน Thailand Wellness & Healthcare Expo 2025 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-29 มิถุนายน 2568 ณ ไบเทคบางนา ที่ผ่านมานั้นเกิดขึ้นจากความร่วมมือของหน่วยงานพันธมิตรมากมายทั้งภาครัฐและเอกชน ได้แก่  สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, SME D Bank, EXIM Bank, บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม, สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC), สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) และองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) ที่จัดงานครั้งนี้ขึ้นเพื่อเป็นเวทีส่งเสริมธุรกิจสุขภาพและเวลเนสไทยให้เข้มแข็ง ผงาดสู่แถวหน้าในภูมิภาคอาเซียน   

โดยภายในงานมีผู้สนใจเข้าร่วมงานกว่า 25,000 ราย ประกอบด้วย แพทย์  นักวิจัย นักธุรกิจ นักลงทุน  และผู้สนใจเรื่องสุขภาพ  ยอดจำหน่ายสินค้าภายในงานรวมทั้งสิ้น 5.6 ล้านบาท  ส่วนยอดขอสินเชื่อในงานรวม 109 ล้านบาท  สำหรับธุรกิจดาวเด่นยอดนิยมภายในงาน  ได้แก่  ชีวาโน่จำหน่ายเครื่องมือแพทย์, โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต, Bangkok Anti Aging Center, เครื่องตรวจ DNAจากจีนีโอเมด, อาหารและเครื่องดื่มสุขภาพจาก Settharachanon, เครื่องหอม จาก Ivory Aeomatic, โปรซอร์ซจำหน่ายเก้าอี้นวด, Fixi Foot, น้ำหวานดอกมะพร้าว&น้ำตาลเพื่อสุขภาพจากชีวาดี, เก้าอี้นวดจากโปรซอร์ซ, เครื่องปั่นสกัดเย็นจากไบร์โอเชฟ, สมุนไพรบ้านพระอาทิตย์, เครื่องมือแพทย์&อาหารเสริมจากไทยเซลล์ฟิกซ์, เตียงและตู้อบซาวน่าเกลือหิมาลายันสีชมพูจากไนน์ เพชรบูรณ์ และ สปาจากทริปเปิล พี เวลเนส"



อีกหนึ่งไฮไลท์ในงานคือกิจกรรมเสวนาบนเวทีจากผู้ทรงคุณวุฒิทั้งในและต่างประเทศ ที่จัดต่อเนื่องตลอดทั้ง 4 วัน โดยหัวข้อเสวนาที่ได้รับเสียงตอบรับดีมีผู้เข้าร่วมฟังสูงสุด ได้แก่  วัยทองอย่างไรไม่ให้แก่โดย ผศ.นพ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์,  สมดุลกรด-ด่างในร่างกายกับการดูแลสุขภาพ โดยแพทย์หญิงพักตร์พิไล ทวีสิน,  CELL THERAPY AND LONGEVITY IN THAILAND โดย ผศ. ดร. นพ. พัฒนา เต็งอำนวย,  วิถีบลูโซน: ฮอร์โมนกับความยืนยาวของชีวิต  โดย นพ. ภัทร วิริยะบัณฑิตกุล และ นพ. จุทศ จักกายชวดล  และ มุมมองการขยายตลาดสุขภาพในผู้สูงอายุในปี 2568 โดย นพ.เก่งพงศ์ ตั้งอรุณสันติ  

ด้านกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจในงานก็มีกลุ่มผู้ประกอบการให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ทำให้ได้คู่ค้าและขยายตลาดเพิ่ม  โดยตลอดทั้ง 4 วันมีการเจรจาจับคู่ธุรกิจทั้งสิ้น 191 คู่ รวมมูลค่ากว่า 377 ล้านบาท  โดยธุรกิจที่ได้รับความสนใจจาก Buyer สูงสุด คือ อาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ  เครื่องสำอางและความงาม   อาหารเสริม   ผลิตภัณฑ์ของใช้ผู้สูงวัย  น้ำหอมและบาล์ม  อีคอมเมิร์ซแพลทฟอร์ม  และ Medical Center Service  ที่สำคัญภายในงานยังมีกิจกรรม Exclusive Networking ได้รับเกียรติเปิดงานโดย นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และ ดร.อรรชกา สีบุญเรือง ที่ปรึกษาคณะกรรมการสำนักงานส่งเสริมการประชุมและนิทรรศการ  โดยมีกลุ่มผู้ประกอบการด้านสุขภาพและเวลเนสเข้าร่วมกิจกรรมเชื่อมโยงธุรกิจรวม 60 ราย พิเศษงานนี้ Dr. Hiroyuki Otomo หมอด้าน Anti aging อันดับต้นของญี่ปุ่น ยังมาให้ความรู้ดีๆ ในเรื่อง “Longevity Cocktail Therapy” กับสูตรลับการมีสุขภาพดีที่เหมือนการยกแก้วฉลองให้กับชีวิตอีกด้วย 

นางสาวณรินณ์ทิพทิ้งท้ายว่า "ผลตอบรับจากการจัดงาน  Thailand Wellness & Healthcare Expo 2025 ในครั้งนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจในเรื่องสุขภาพเป็นอย่างมาก สอดรับกับแนวโน้มโลกปัจจุบันที่ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยเต็มรูปแบบ  ทางผู้จัดงานรู้สึกภาคภูมิใจที่การจัดงานในครั้งนี้ตอบโจทย์คนรักสุขภาพและวิถีแห่งโลกยุคใหม่  โดยมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้ประเทศไทยก้าวเป็นผู้นำด้านเวลเนสและสุขภาพในภูมิภาคอาเซียนต่อไป"

เตรียมพบกับงาน Thailand Wellness & Healthcare Expo 2026 ที่จัดร่วมกับงาน “SPORTEC Thailand 2026” นิทรรศการด้านอุตสาหกรรมกีฬาแบบ B2B ครั้งแรกของไทย แบบเต็มพื้นที่  นัดนี้อย่าพลาด!! 
ล็อคคิวเตรียมรอ วันที่ 25-26 มิถุนายน 2569 ณ ฮอลล์ 102 ศูนย์นิทรรศการไบเทค บางนา 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 086-314-1482

ของขวัญ ฟ้าใส Drink & Bistro เปิดแล้วที่แก่งคอย สระบุรี

ไม่กี่วันก่อน โวยวายดอท มีโอกาสลิ้มลองอาหารมืัอกลางวัน จากการเดินทางทริปท่องเที่ยวน้ำตกเจ็ดสาวน้อย รู้จักร้านนี้จากการแนะนำของ พี่จุ๋งจิ๋ง (แอร์การบินไทย) แม้จะซ่อนตัวอยู่ใน ตำบลหินซ้อน อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ร้านห่างจากน้ำตกเจ็ดสาวน้อย เพียง 20 นาที ก็ถึงร้านที่เราปักหมุด 


ร้าน ของขวัญ ฟ้าใส Drink & Bistro by เชฟกระทะรั่ว เชฟเดย์ นำความหลงใหลด้านอาหารมาแบ่งปันความอร่อย รสชาติอาหาร การบริการ เชฟเดย์น่ารัก เป็นกันเอง ช่วยเหลือในการสั่งอาหารดีเยี่ยมความพเศษของร้าน คือเมื่อเรานั่งลงบนเก้าอี้จะรู้สึกเป็นคนสำคัญของที่นี่ทันที  และไม่ว่าจะนั่งมุมไหนของร้าน ก็มอบความรู้สึกสดใหม่เสมอ เพราะโต๊ะ-เก้าอี้ การตกแต่งรอบร้าน มีลูกเล่น มีหลากหลายขนาดให้เลือกนั่ง มาเดี่ยว มาคู่ มากับเพื่อน หรือมากับครอบครัวรองรับได้หมด

ร้านอาหารไทยที่ได้แรงบันดาลใจจากท้องถิ่น อาหารกลางวันที่เสิร์ฟในร้านอาหารสไตล์บิสโทร ซึ่งมักจะเป็นอาหารที่ทำง่าย รสชาติดี และมีบรรยากาศสบายๆ เป็นกันเอง อีกหนึ่งร้านอาหารบรรยากาศดีต่อใจไม่ใช่แค่สวยน่านั่ง ร้าน ของขวัญ ฟ้าใส Drink & Bistro มาอค่อยกับเมนูอาหารตามสั่งอร่อยๆ ด้วยกัน




ครั้งนี้ โวยวาย มีโอกาสได้มาลองฝีมือการทำอาหารของร้านของขวัญ ฟ้าใส Drink & Bistro พ่อครัวคือ เชฟเดย์ เดชารัตน์ ราชประโคน และ ผู้ช่วยโบว์ ( ยุพดี ทับนิล ) อาหารครอบครัวได้แรงบันดาลใจในการทำอาหารมาจากประสบการณ์ความทรงจำที่เคยเปิดร้านอาหารและผับ ที่ซึมซับมาจากประสบการณ์ตรง ทางร้านมาในแนวเน้นความเป็นส่วนตัว แบ่งพื้นที่นั่งออกเป็นหลายโซน ชั้นล่างเป็นโต๊ะไม้ยาว มองเห็นครัวเปิด เหมาะสำหรับมาเป็นหมู่คณะ ส่วนโซนด้านหน้าร้านเหมาะกับมาเป็นคู่ หรือต้องการความเงียบสงบ 



แรงบันดาลใจให้เชฟสองสามี-ภรรยา แห่งร้าน ร้าน ของขวัญ ฟ้าใส Drink & Bistro by เชฟกระทะรั่ว เรื่องราวอบอุ่นแรงบันดาลใจรักในอาหาร นำมาซึ่งความสำเร็จของเชฟเดย์ เดชารัตน์ ราชประโคน และ โบว์ (ยุพดี ทับนิล ) เลือกเส้นทางคนทำอาหารด้วยความรักและอยากทำอาหารอร่อยๆ วัตถุดิบที่สำคัญของครอบครัวอบอุ่น ทำอาหารให้คนที่บ้านเกิดตนเองได้ทาน

เดย์ เดชารัตน์ ราชประโคน และ โบว์ ( ยุพดี ทับนิล ) แชร์ให้เราฟังตรงกันว่า ด้วยใจรักและความหลงใหลในอาหาร บ่อยครั้งมักก่อร่างสร้างตัวขึ้นในครอบครัว เมื่อได้ลิ้มรสชาติและความรักที่ส่งผ่านมาจากประสบการณ์ที่เคยบริหารร้านอาหาร ผับ ที่ผ่านมา




เราเชื่อว่าหลายคนคงมีอาหารจานโปรดที่กินเมื่อไรก็ชวนให้นึกถึง อาจเป็นเมนูประจำบ้านที่หากินที่ไหนไม่ได้ยกเว้นแต่แม่ทำ แรงบันดาลใจในการทำร้านอาหารของเจ้าของร้านแต่ละคนนั้นแตกต่างกันไป แต่โดยทั่วไปแล้วมักจะมาจากความรักในอาหาร การอยากสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า หรือความต้องการที่จะมีธุรกิจของตัวเอง "ไม่ชอบมองว่าอุปสรรค คือ ความยากลำบาก ชอบมองว่าเป็นเรื่องท้าทายมากกว่า อาจเป็นเพราะเราโชคดีที่ได้ทำงานในครัวและทำร้านอาหารของตัวเองมาโดยตลอด ทำให้ได้จดจ่ออยู่กับการทำงานและการทำอาหารของตัวเอง โดยการทำงานเราท้าทายตัวเองให้เก่งขึ้น พัฒนาขึ้นในทุกๆ วัน จนไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องแข่งขันกับใคร"

กุ้งอบวุ้นเส้น อร่อยกุ้งแน่น

สเต็กเนื้อ หอม ฉ่ำ นุ่ม แบบละลายในปาก

ตำแตงกุ้งสด

ไข่ตุ๋นทรงเครื่องหม้อไฟทะเล

ยำโรซ่า - เกี๊ยวกรอบ

ถึงเวลาเปิดตัวอาหารเด็ด ขอเริ่มกันที่จานตรงหน้าเรา สายเนื้อ อยากให้มาลอง สเต็กเนื้อ หอม ฉ่ำ นุ่ม แบบละลายในปาก สายเนื้อควรรู้จัก ความอร่อยของสเต็กเนื้อโคขุน ที่จับคู่กับสมุนไพร และน้ำจิ้มรสชาติอร่อย รวมไปถึงอีกหนึ่งเมนูเมนูยอดฮิตที่ต้องสั่ง กุ้งอบวุ้นเส้น อร่อยกุ้งแน่น ไข่ตุ๋นทรงเครื่องหม้อไฟทะเล ครบจบในหม้อเดียวไข่เนื้อเนียน เครื่องทะเลแน่นๆ  จานเรียกน้ำย่อยที่อยากทานจานต่อไป  ยำโรซ่าเกี๊ยวกรอบ อร่อยกินเพลิน และเมนูอื่นๆ  ที่นี่มีอาหารให้เลือกหลากหลาย ต้ม ผัด แกง ทอด ครบ! อาหารจานเดียวก็มีนะอร่อยเด็ด ทำถึงทุกเมนู ราคาไม่แพง

ร้าน ของขวัญ ฟ้าใส Drink & Bistro by เชฟกระทะรั่ว
โทร. 097 995 8097

พิกัด : ร้านของขวัญฟ้าใส Drink & Bistro
https://maps.app.goo.gl/x4u3rjj9ZTNM4Txe8?g_st=il



#เชฟกระทะรั่ว #ร้านอาหารบ้านหินซ้อน
#ของขวัญฟ้าใสDrink&Bistro #เชฟกระทะรั่ว
#เช็คอินหินซ้อน #ยำโรซ่าเกี๊ยวกรอบ

ข่าวประชาสัมพันธ์

AI เปลี่ยนโลกเร็วเกินคาด! สจล. แนะ ไทยต้องรู้เท่าทัน กล้ารับมือและมองเห็นโอกาส

สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ชี้คนไทยต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้ใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: A...

โวยวายดอทคอม