วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2567

วิวัฒนาการของแบรนด์ไทยสู่ตลาดโลก ในงาน STYLE Bangkok 2024

เตรียมตื่นตาตื่นใจกับหลากหลายแบรนด์ไทยที่ไปผงาดในเวทีตลาดโลก ในงาน STYLE Bangkok 2024 มหกรรมแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์ชั้นนำของเอเชีย ระหว่างวันที่ 20-24 มีนาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

STYLE Bangkok 2024 ภูมิใจนำเสนอสองนิทรรศการพิเศษ Host & Home และ Material Thai to Japan ที่สะท้อนความมุ่งมั่นของผู้ประกอบการไทยในการดึงมรดกทางวัฒนธรรม ความเป็นเลิศในงานฝีมือ ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม จนสามารถสร้างกระแสความนิยมชื่นชอบในตลาดโลก

นิทรรศการ Host & Home
Host & Home โครงการริเริ่มโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ โดยสำนักส่งเสริมการค้าสินค้าไลฟ์สไตล์ ได้ดำเนินโครงการพัฒนาสินค้าและเจาะตลาด Hospitality (Host & Home) ในอิตาลี ตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน เพื่อมุ่งเจาะตลาดธุรกิจโรงแรมและที่พักอาศัย โดยเน้นเจาะตลาดยุโรป ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการได้รับการพัฒนาสินค้าเชิงลึกตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญชาวอิตาเลียน หลังจากนั้น สินค้าที่พัฒนาขึ้นมาได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมในงานแสดงสินค้า Salone del Mobile ที่มิลาน อิตาลี ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีด้วยสินค้าไทยมีความหลากหลาย ใช้งานได้จริง มีเอกลักษณ์ เน้นแนวคิดความยั่งยืน ใช้วัสดุธรรมชาติที่หาได้ในประเทศ และคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม

นิทรรศการ Material Thai to Japan
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้ดำเนินโครงการส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มด้านนวัตกรรมตามแนวคิด BCG Economy สู่ตลาดญี่ปุ่น โครงการส่งเสริมพัฒนาสินค้าและและเทคนิคการผลิตของผู้ประกอบการ Material Thai สู่ตลาดญี่ปุ่นโดยผู้ประกอบการสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่นไทยได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นในการพัฒนาวัสดุของไทยให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับแนวโน้มความต้องการของตลาดญี่ปุ่น  หลังจากการพัฒนาวัสดุแล้ว ผู้ประกอบการจะได้เข้าร่วมจัดแสดงภายในงานแสดงสินค้า Life x Design (Tokyo International Gift Show) ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดียิ่ง ที่สำคัญยังเป็นโอกาสได้แสดงศักยภาพของสินค้าไทยในตลาดต่างประเทศ



พบกับสินค้าคุณภาพระดับนานาชาติหลากหลายเหล่านี้ได้ที่ STYLE Bangkok 2024
งานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์ชั้นนำของภูมิภาคเอเชีย ภายใต้ธีม  ‘CHICNATURE' ตั้งแต่วันที่ 20 ถึง 24 มีนาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ร่วมสัมผัสแรงบันดาลใจ การค้นพบ และความเป็นเลิศทางธุรกิจที่ STYLE Bangkok 2024
ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมและลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ www.stylebangkokfair.com 

วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2567

รมว.พิพัฒน์ สั่งขยายผล!

ล้างรถด่วนเชียงราย เตรียมร่วมกับปั้มจ้างงานเพิ่มทั่วประเทศ พร้อมห่วงใยแรงงานเอาท์ดอร์  กำชับเครือข่ายแรงงานพบชาวบ้าน รณรงค์หยุดเผาป่าป้องกันมลพิษฝุ่นควัน จ.เชียงราย  


วันที่ 17 มีนาคม 2567 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่เยี่ยมพบปะให้กำลังใจแรงงานที่ได้รับการฝึกอาชีพตามโครงการคืนคนดีสู่สังคม ศูนย์ฝึกอาชีพ สร้างงานสร้างรายได้ และให้บริการล้างทำความสะอาดรถยนต์แก่ประชาชนที่มารับบริการ ณ ศูนย์ฝึกอาชีพ สร้างงานสร้างรายได้ เมตตา...พระไพศาลประชาทร วิ. วัดห้วยปลากั้ง อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย โดยมี นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน นายสมาสภ์ ปัทมะสุคนธ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วม ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน20 เชียงราย กับวัดห้วยปลากั้ง ที่ได้ฝึกอาชีพให้แก่ผู้ต้องขังที่พ้นโทษ ได้นำความรู้จากการฝึก มาต่อยอดในการประกอบอาชีพ มีงานทำ มีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 



นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ในวันนี้ผมพร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงแรงงานลงพื้นที่เชียงรายมาเยี่ยมพบปะกับแรงงานที่ได้รับการฝึกอาชีพตามโครงการคืนคนดีสู่สังคม ที่ศูนย์ฝึกอาชีพ สร้างงานสร้างรายได้ เมตตา...พระไพศาลประชาทร วิ. ซึ่งที่นี่ให้บริการล้างทำความสะอาดรถยนต์แก่ประชาชนที่มารับบริการคันละ 50 บาท ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงแรงงานกับวัดห้วยปลากั้ง ที่จะเปิดโอกาสให้แรงงานชั้นดีที่พ้นโทษได้มีงานทำ มีอาชีพ มีรายได้ สามารถประกอบอาชีพหลังจากออกมาสู่สังคม โดยการล้างรถ ฝุ่น โคลนซึ่งในส่วนนี้ผมจะนำโมเดลดังกล่าวไปต่อยอดขยายผล  พร้อมหารือสถานีบริการน้ำมันเอกชนทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มการจ้างงาน สร้างอาชีพ พร้อมสร้างคุณค่าคืนคนดีสู่สังคมต่อไป


นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า จากการลงพื้นที่เชียงรายในครั้งนี้ ผมยังพบว่าปัจจุบันเชียงรายยังพบปัญหาฝุ่นควันในปริมาณที่สูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ที่สำคัญมีความห่วงใยต่อแรงงานที่ทำงานอยู่ในพื้นที่โดยเฉพาะแรงงานที่ต้องทำงานอยู่ในกลางแจ้ง ผมจึงได้กำชับให้แรงงานจังหวัด ร่วมมือกับอาสาสมัครแรงงาน (อสร.) จังหวัดเชียงราย 124 คน พบปะกับชาวบ้านในพื้นที่เพื่อรณรงค์ให้ชาวบ้านช่วยกันหยุดเผาป่า ป้องกันฝุ่นควันลดปัญหามลพิษทางอากาศ อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคระบบทางเดินหายใจ นอกจากนี้ เพื่อร่วมสร้างทัศนียภาพให้กลับมาสวยงามเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย






IRDP จัดพิธีเปิดการฝึกอบรม หลักสูตร “Leadership Succession Program” รุ่นที่ 15


มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาองค์กรภาครัฐ (IRDP) จัดพิธีเปิดการฝึกอบรม หลักสูตร “Leadership Succession Program” (LSP) รุ่นที่ 15 ระหว่างวันที่ 15-16 มีนาคม 2567 ณ โรงแรม Holiday Inn พัทยา โดยมี ศาสตราจารย์ ดร. วรภัทร โตธนะเกษม กรรมการผู้จัดการ IRDP และ ประธานกรรมการบริหารหลักสูตร ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีและกล่าวรายงานความเป็นมาของโครงการ โดยมี ดร. เสรี นนทสูตร รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส IRDP ดำเนินกิจกรรมแนะนำตนเอง และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ชัยวัฒน์ วงศ์อาษา เลขาธิการสมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกล่าวปฐมนิเทศแก่ผู้เข้ารับการฝึกอบรม  

ในการนี้ ศาสตราจารย์ ดร. วรภัทร โตธนะเกษม ได้กล่าวถึงความเป็นมาของโครงการว่า ในยุคโลกาภิวัฒน์ ซึ่งความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และนำมาซึ่งความท้าทายที่หลากหลาย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้บริหารระดับสูงขององค์กร จะต้องพัฒนาตนเองตลอดเวลา เพื่อให้มีองค์ความรู้ และทักษะที่สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายในปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เพื่อนำพาองค์กรไปสู่ความยั่งยืน สำหรับผู้บริหารระดับสูงสุดขององค์กรนั้น ปัจจุบันมีโครงการฝึกอบรมทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เปิดโอกาสให้เข้าศึกษาหาความรู้และพัฒนาศักยภาพ รวมทั้งยังเป็นการสร้างเครือข่ายของผู้บริหารในระดับเดียวกัน ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนความเห็นและประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อกัน และยังเอื้อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอีกด้วย อย่างไรก็ตามความจำเป็นอีกอย่างหนึ่งที่องค์กรสมัยใหม่เห็นความสำคัญมากยิ่งขึ้น ก็คือการวางแผนสร้างบุคลากรในระดับรองและผู้ช่วยผู้บริหารสูงสุด เพื่อให้มีความพร้อมที่จะก้าวขึ้นรับตำแหน่งสูงสุดขององค์กร (Succession Plan) ด้วยเหตุผลที่กล่าวมานั้น มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาองค์กรภาครัฐ (IRDP) จึงได้จัดโครงการฝึกอบรมหลักสูตร “Leadership Succession Program” (LSP) เพื่อสนองความต้องการนั้นและนับตั้งแต่ปี 2556 และได้จัดหลักสูตร LSP
มาแล้วจำนวน 15 รุ่น ดังนั้นจึงขอให้ผู้เข้ารับการอบรมตั้งใจรับฟังการบรรยายและเก็บเกี่ยวความรู้ ประสบการณ์จากท่านวิทยากรที่ให้เกียรติมาบรรยายเพื่อจะได้นำความรู้และประสบการณ์มาปรับใช้ในการปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป



สำหรับโครงการดังกล่าว IRDP จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรม ประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูงขององค์กร รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานราชการ องค์การมหาชน หรือ บริษัทจดทะเบียน และบริษัทเอกชนต่าง ๆ อาทิเช่น “คุณสุโชติ เปี่ยมชล ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย” “คุณมงคล
ตรีกิจจานนท์ รองผู้ว่าการ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค” “คุณวศิน วรรณพฤกษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจองค์กร บริษํท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด” “คุณปกิต ภาคธรรม ผู้ช่วยผู้ว่าการ การประปาส่วนภูมิภาค” “คุณนิยม จินดาปทีป รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านระบบดิจิตอล บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด” คุณณภัทรา สุวรรณเดช ผู้ช่วยผู้ว่าการ การไฟฟ้านครหลวง” “คุณสุนันท์ นิ่มฟัก ผู้อำนวยการใหญ่(บริหารจราจรทางอากาศ) บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด” เป็นต้น ผู้เข้ารับการอบรมจะต้องพัฒนาตนเองตลอดเวลา
เพื่อให้มีองค์ความรู้ และทักษะที่สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายในปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล 


เพื่อนำพาองค์กรไปสู่ความยั่งยืน สำหรับผู้บริหารระดับสูงสุดขององค์กรนั้น ปัจจุบันมีโครงการฝึกอบรม
ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เปิดโอกาสให้เข้าศึกษาหาความรู้และพัฒนาศักยภาพ รวมทั้งยังเป็นการสร้างเครือข่ายของผู้บริหารในระดับเดียวกัน ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนความเห็นและประสบการณ์อันจะเป็น สามารถนำความรู้จากเรื่องที่ได้รับการฝึกอบรมไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์ต่อการป้องกันหรือแก้ไขปัญหาของแต่ละองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2567

SKAL International Bangkok เลือกตั้งนายกสมาคมคนใหม่เป็นผู้หญิงครั้งแรกในรอบ 30 ปี


SKAL International Bangkok สกาลสมาคมผู้นำธุรกิจท่องเที่ยวสากลกรุงเทพฯ นำโดยเจมส์ เธอร์ลบี้ (อดีตนายกสมาคมสกาลสากลกรุงเทพฯ)ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกสมาคมสกาลสากลประเทศไทย เมื่อเร็วๆนี้ ..จัดงานเลี้ยงอาหารกลางวันและการประชุมสามัญประจำปี 2567 โดยมีการเลือกตั้งนายกสมาคมคนใหม่ โดยมี กนกรส วงศ์เวคิน (ผู้อำนวยการ เลอมาร์กอม) ได้รับการโหวตให้เป็นนายกสมาคมคนใหม่ พร้อมคณะกรรมการอีก 8 ท่าน ณ ห้องอาหารสเปคตรัม โรงแรมไฮแอทรีเจนซี่สุขุมวิท กรุงเทพฯ 


โดยมีเจ้าของธุรกิจ บุคคลที่มีชื่อเสียง ผู้บริหารระดับสูงในวงการท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ มาร่วมงานกัน อย่างคับคั่ง อาทิ  เอิร์ธ สายสว่าง (ประธานชมรมสื่อสารการตลาดโรงแรมแห่งประเทศไทย)
แอนดรูว์ เจ. วู้ด อดีตนายกสมาคมสกาลเอเซีย แซมมี่ โคโลรุส ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมไฮแอทรีเจนซี่สุขุมวิทกรุงเทพฯ ฟราสซิส ซิมเมอร์แมน ผู้จัดการทั่วไปโรงแรมแลนด์มาร์คกรุงเทพฯ มาร์วิน บีมานด์,ไมเคิล แบมเบิร์ก, พิชัย วิสูตรีรัตน์, จอนห์น นุ้สซี่ ผู้จัดการทั่วไปโรงแรมชาเทรียมเรสซิเดนซ์สาธร ดร.สก็อต สมิธ, กานต์พิชา คงสมบัติ, พรดา เพ็งสมบัติ เป็นต้น ทั้งนี้กนกรส วงศ์เวคิน (เป็นนายกสมาคมหญิงคนแรก) ตั้งแต่สมาคมสกาลสากลกรุงเทพฯ ก่อตั้งมาเป็นเวลา 30 ปี กนกรสและคณะกรรมการชุดใหม่มีวาระ 2 ปี


สมาคมสกาลสากลกรุงเทพฯ (SKAL Bangkok) จัดงานเลี้ยงอาหารกลางวันและค็อกเทลในโรงแรมระดับ 5 ดาวใจกลางเมือง สลับกันเป็นประจำทุกเดือน โดยเชิญวิทยากรที่มีชื่อเสียงมาบรรยายในหัวข้อที่เป็นประโยชน์กับการท่องเที่ยวไทย เพื่อให้สมาชิกและบุคคลที่สนใจได้มีโอกาสเสริมสร้างวิสัยทัศน์ด้านต่างๆ และมีความสัมพันธ์ที่ดีในการทำธุรกิจร่วมกัน ...

สมาคมสกาลอินเตอร์เนชั่นแนล เป็นสมาคมผู้นำธุรกิจท่องเที่ยวที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในโลก (ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2477 ) โดยมีสาขาอยู่ทั่วโลกทั้งในยุโรป และเอเซีย สำหรับในประเทศไทย มีสาขาอยู่ในจังหวัดที่เป็นยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว เช่น กรุงเทพฯ หัวหิน ภูเก็ต สมุย กระบี่ เชียงใหม่ เป็นต้น





สนใจสมัครเป็นสมาชิกสมาคม ติดต่ออีเมล์ : memberships@skalbangkok.com

ผส.จับมือพันธมิตร ท้าให้มาลั้นลากับชีวิต” กับ O-lunla Market ปล่อยพลังคนวัยซ่า ครั้งที่ 2 และ 3


วันที่ 15 มี.ค.67 เวลา 10.00 น. นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ และนางสาวศุภาญา ธนวัฒน์เสรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เปเปอร์คอร์รัส ผู้ก่อตั้งนิตยสารโอ-ลั้นลา ร่วมแถลงข่าวกิจกรรม “โอ-ลั้นลามาร์เก็ต ปล่อยพลังคนวัยซ่า” โดยมีตัวแทนสูงวัยไอดอล คุณอนุสร ตันเจริญ เจ้าของเพจลุงอ้วนกินกะเที่ยว คุณฐิติรักษ์ รวีพงศ์ธราวุธ ผู้ก่อตั้ง เจปัง ไอติมย่างเนย และคุณอรุณศรี ฉ่ำเฉียวกุล จิตอาสาไลน์แดนซ์ ร่วมพูดคุยสร้างแรงบันดาลใจ ณ บริเวณโถงชั้น 1 กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์


กรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมกับ นิตยสารโอ-ลั้นลา  จัดงาน O-lunla Market ครั้งที่ 2 ณ สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) 5-7 เมษายน 2567 และ O-lunla Market ครั้งที่ 3 ณ ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์  26-29 กันยายน 2567 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ปล่อยพลังคนวัยซ่า” (SA:Silver Age) พบกับหลากหลายความลั้นลาในงาน อาทิ  ไอดอลวัยซ่าร่วมทอล์กสร้างแรงบันดาลใจ เริงลีลาศ ร้อง เต้น เล่นดนตรีโดยวัยซ่ารุ่นใหญ่ไฟกะพริบ เวิร์กชอปสุดพิเศษที่พลาดแล้วบอกได้คำเดียวว่าเสียดาย ตรวจสุขภาพ และร้านค้าของพ่อค้าแม่ค้าวัย 55+ ที่ทำด้วยรัก คัดด้วยใจนำสินค้ามาให้ชอปเพลินๆ  กว่า 60 ร้านค้า ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุ ตั้งแต่ พ.ศ. 2548 กล่าวคือ มีอัตราส่วนของประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 10 ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่การเป็นสังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ (Complete- Aged Society) โดยมีประชากรผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไป จำนวน 13 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 20.08 ของประชากรทั้งหมด และคาดว่าจะเป็นสังคมสูงอายุระดับสุดยอด (Super - Aged Society) ในปี พ.ศ. 2576 และในปี พ.ศ. 2583 คาดว่าจะมีผู้สูงอายุ คิดเป็นร้อยละ 31.37 ของประชากรทั้งหมด 


นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า ภารกิจของกรมคือการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุครอบคลุมใน 5 มิติ ประกอบด้วย มิติทางสุขภาพ มิติทางสังคม มิติมิติทางสิ่งแวดล้อม มิติทางเศรษฐกิจ และมิติทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม การร่วมจัดกิจกรรมโอ-ลั้นลา มาร์เก็ต ในปี 2567 นี้ เนื่องจากกิจกรรมนี้ตอบโจทย์การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในมิติทางเศรษฐกิจหากถอดบทเรียนประเทศที่เข้าสู่สังคมสูงอายุก่อนประเทศไทย จะพบปัญหาคล้ายคลึงกันคือ ปัญหาขาดแคลนแรงงานวัยทำงาน อัตราการพึ่งพิงของผู้สูงอายุมากขึ้น ภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขของประเทศเพิ่มขึ้น ตลอดจนปัญหาด้านการเงินส่วนบุคคลที่ไม่ได้ออมไว้มากพอสำหรับวัยเกษียณ แต่การแก้ไขปัญหาหรือช่วยเหลือผู้สูงอายุด้วยการสงเคราะห์นั้นใช้งบประมาณสูงมากและทำเท่าใดก็ไม่เพียงพอ วิธีการที่ดีกว่าก็คือการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพที่ดี และส่งเสริมการมีงานทำ 

“ข้อมูลอ้างอิงจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า คนไทยหลังวัยเกษียณควรมีเงินออมขั้นต่ำ 4 ล้านบาท ซึ่งจากการสำรวจพบว่า ผู้สูงอายุไทยจำนวนมากไม่ได้เตรียมพร้อมในด้านการเงิน  กรมจึงทำงานเชิงรุก สนับสนุนการสร้างอาชีพ การขยายเวลาการทำงาน ตลอดจนการออมและการลงทุนกับหน่วยงานพันธมิตร”

กรมกิจการผู้สูงอายุ ร่วมกับ นิตยสารโอ-ลั้นลา จัดกิจกรรมโอ-ลั้นลามาร์เก็ต เพื่อเป็นต้นแบบการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุที่ยังแข็งแรงและมีศักยภาพได้ฟื้นฟูทักษะ (Reskill) หรือพบอาชีพใหม่ สนับสนุนให้ผู้สูงอายุมีความสามารถในการสร้างรายได้ เป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจไทย และเป็นพลังที่จะทำให้ประเทศมีความเข้มแข็งได้อย่างยั่งยืน


นางสาวศุภาญา ธนวัฒน์เสรี ผู้ร่วมก่อตั้งนิตยสารโอ-ลั้นลา  กล่าวว่าโอ-ลั้นลาเชื่อมั่นใน “พลังสร้างสรรค์” ของผู้สูงอายุ จึงได้จัดทำนิตยสารนี้ขึ้นมาตั้งแต่ปี 2558 เพื่อนำเรื่องราวของผู้สูงอายุที่เปี่ยมประสบการณ์ มองโลกเชิงบวก และกล้าทำสิ่งใหม่ในวัยใกล้เกษียณมานำเสนอทั้งในรูปแบบนิตยสารฟรีก็อปปี้ สื่อออนไลน์ และพัฒนาสู่กิจกรรมออนกราวด์ต่างๆ อาทิ เวิร์กช็อป ทริปท่องเที่ยว การจัดสัมมนาปัจฉิมนิเทศ เป็นต้น 

 โอ-ลั้นลามาร์เก็ต เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ตอกย้ำให้เห็น “พลัง” ของผู้สูงวัย สร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และยังช่วยปูทางการสร้าง “อาชีพที่สอง (Second Career)” หลังเกษียณ เพื่อพึ่งพิงตนเองได้ในอนาคต 

“โอ-ลั้นลามาร์เก็ต  ถูกออกแบบให้เป็น ‘มากกว่าตลาด’ คือ คอมมูนิตี้หรือชุมชนปล่อยพลังคนวัยซ่า มีสีสันและกิจกรรมที่หลากหลาย ทั้งการแสดงเอนเตอร์เทนเมนท์โดยผู้สูงวัย ทอล์กสร้างแรงบันดาลใจจากสูงวัยไอดอล เวิร์ก ชอปสุขภาพ เวิร์กชอปศิลปะด้านภูมิปัญญาที่ทรงคุณค่า”

 ทั้งนี้ จากการจัดโอ-ลั้นลา มาร์เก็ต ครั้งที่ 1 เมื่อเดือนมีนาคม 2566 และได้รับการตอบรับที่ดี ในปี 2567 จึงดำเนินการต่อเนื่อง โดยมีรายละเอียดดังนี้

• ครั้งที่ 2  ระหว่างวันศุกร์ที่ 5 – วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน 2567 ณ สถานีรถไฟหัวลำโพง 

• ครั้งที่ 3  ระหว่างวันพฤหัสที่ 26 – วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน 2567 ณ ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์  

เอ็ม ดิสทริค ศูนย์การค้า เอ็มควอเทียร์ เป็นอีกหนึ่งพันธมิตรที่ร่วมส่งเสริมและเตรียมพร้อมสังคมผู้สูงอายุ 

โดยสนับสนุนให้ผู้สูงอายุที่แข็งแรงได้ทำงานต่อเนื่อง หรือพบอาชีพที่สอง นอกจากเป็นการเตรียมพร้อมทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต เพื่อให้ผู้สูงอายุเห็นคุณค่าในตัวเองมากที่สุด ยังเป็นการกระตุ้นเตือนการวางแผนการเงินเพื่อใช้ยามเกษียณ

เอ็ม ดิสทริค ศูนย์การค้า เอ็มควอเทียร์ มีความยินดีสำหรับการเปิดพื้นที่สำหรับทุกๆกิจกรรมที่สร้างคุณค่าให้สังคม และขอขอบคุณผู้จัดทำนิตยสารโอ-ลั้นลา และกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เช่นกัน ที่นำกิจกรรม โอ-ลั้นลา มาร์เก็ต  ปล่อยพลังวัยคนซ่า ครั้งที่ 3 มาจัดที่เอ็มควอเทียร์ ระหว่างวันที่ 26-29 กันยายน นี้ โดยเอ็มควอเทียร์หวังเป็นอย่างยิ่งว่า กิจกรรมดังกล่าวที่ทีมงานนิตยสารโอ-ลั้นลาจัดขึ้น จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อคอมมูนิตี้สุขุมวิท ทั้งในกลุ่มคนไทยและ Expat ในประเทศ ตลอดจนนักท่องเที่ยว รวมถึงผู้สนใจ 

#Highlightในงาน  O-lunla Market ปล่อยพลังคนวัยซ่า ครั้งที่ 2 

🎯 เชิญร่วมรับฟังการแบ่งปันประสบการณ์  ปล่อยพลังคนวัยซ่า   กับ สูงวัยไอดอล  อาทิ

-  คุณอรุณศรี ฉ่ำเฉียวกุล จิตอาสาไลน์แดนซ์ ใช้การเต้นจุดพลังวัยซ่า 

- ดร. สง่า ดามาพงษ์ นักโภชนาการแถวหน้าของไทย

- คุณฐิติรักษ์ รวีพงศ์ธราวุธ  เริ่มธุรกิจใหม่ เจปัง ไอติมย่างเนย ในวัย 58+

✅  ช้อปเพลิน เจริญพุง กับร้านค้าโดยพ่อค้าแม่ขายวัยใส วัย 55 +✅ สมัครงานกับองค์กรสายตาไกลรับสูงวัยเข้าทำงาน

✅ ลีลาศ 

✅ การแสดง ดนตรี เต้น เล่น ร้อง จากวัยซ่ารุ่นใหญ่ไฟกะพริบ

✅  Exclusive Workshop สร้างอาชีพ สร้างสุขภาพ   

✅ บรรยายสุขภาพ  ฯลฯ

งานนี้  วัยซ่า และลูกหลาน   ต้องไม่พลาด !!!!!  ครั้งที่ 2 วันที่ 5–7 เมษายน 2567 ณ สถานีรถไฟหัวลำโพง และ ครั้งที่ 3 วันที่ 26–29 กันยายน 2567 ณ ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์  

#กรมกิจการผู้สูงอายุ   #Olunlaclub   #OlunlaMarket   #ปล่อยพลังคนวัยซ่า  

🎯 สูงวัยไอดอล“วัย” ไม่ใช่อุปสรรคในการเริ่มต้น สองท่านนี้คือตัวอย่าง ของสูงวัยไอดอล ที่เริ่มต้นอาชีพใหม่ในวัยใกล้เกษียณ

🟡 คุณฐิติรักษ์ รวีพงศ์ธราวุธ (ป้าอ้วน) ผู้ร่วมก่อตั้ง เจ-ปัง ไอติมย่างเนย วัย 65 ปี ในอดีตเคยทำธุรกิจเสื้อยืดแบรนด์ “เป่ายิ้งฉุบ” ด้วยเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย จึงวางมือ และส่งมอบธุรกิจนี้ให้หลาน ในวัย 58 ปี ป้าอ้วนยังคงไม่หยุดนิ่ง และมองหาสิ่งใหม่ในชีวิตเพื่อให้สมองยังได้ทำงานและมีชีวิตชีวา ด้วยเป็นคนชอบรับประทานไอศกรีม เธอและน้องชายจึงไปลงคอร์สเรียนไอศกรีม ก่อนมาเปิดร้านที่ตลาดวังหลัง   ช่วงเวลานั้นเอง เกิดวิกฤตโควิด-19  ร้านไอศกรีมจึงได้รับผลกระทบทางด้านยอดขาย 

 ป้าอ้วน มองข้ามปัญหาด้านยอดขาย เดินหน้าผลิตไอศกรีมเพื่อมอบให้กับบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงานต่อสู้กับโควิด-19  ไอศกรีมของป้าอ้วนได้รับคำชื่นชมโดดเด่นที่รสชาติกลมกล่อม ไม่หวานมาก โดยใช้น้ำตาลอ้อยออร์แกนิก เมื่อหลานชายกลับมาจากต่างประเทศ ได้ร่วมเสนอไอเดียเพิ่มมูลค่าให้ไอศกรีม โดยนำขนมปังมาย่างกับเนยหอมๆ  ให้ความรู้สึกเหมือนวัยเด็กที่กินไอศกรีมคู่ขนมปัง ปรับชื่อร้านเป็น “เจ-ปัง” และใช้สื่อโซเชียลมีเดียเพื่อเข้าถึงคนรุ่นใหม่จากร้านสาขาแรกที่วังหลัง ปัจจุบัน เจ-ปัง ไอติมย่างเนยสูตรเฉพาะของครอบครัว ขยายสาขาสู่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำกว่า 20 สาขา และน้อยคนนักอาจจะทราบว่า ร้านไอติมย่างเนยที่โด่งดังครองใจวัยรุ่น เกิดจากการเริ่มต้นและทำงานร่วมกันของคนสองรุ่น “ทำงานกับคนรุ่นใหม่ เราต้องเชื่อและมั่นใจในรุ่นเขา”  

🟡 คุณอนันต์  วิวัฒนผล (ลุงพล) ผู้ผลิตน้ำข้าวโพด Uncle Pol Shop วัย 65 ปี​ อดีตนักธุรกิจผลิตโคมไฟประหยัดพลังงานที่ประสบปัญหาการดำเนินธุรกิจ สต๊อกสินค้าจมน้ำจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ความเครียดสะสมได้ทำลายสุขภาพกายและใจ ร่างกายซูบผอมและตรวจพบว่าเป็นมะเร็งกระดูกชนิดร้ายแรงเมื่อปี 2558  ทีมแพทย์แจ้งว่าสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกเพียง 3-6 เดือน คุณอนันต์ใช้เวลาช่วงนั้นทำความดีทุกวันเพื่อเตรียมพร้อมวาระสุดท้าย จิตใจที่ผ่อนคลายลงทำให้มีความสุขมากขึ้น และเปิดรับการรักษาตามคำแนะนำของหมอและการรักษาทางเลือกที่ตนเองอ่านค้นคว้าเพิ่มเติมการสู้กับมะเร็งดำเนินมาถึงขั้นที่ต้องยอมสูญเสียขาเพื่อรักษาชีวิต ลุงพลเตือนสติกับตัวเองไม่ให้จมจ่อมพ่ายแพ้กับโรคร้าย ทำอย่างไรก็ได้ให้ชีวิตห่างไกลจากการเป็นผู้ป่วยติดเตียง จึงตัดสินใจลุกขึ้นฝึกขับรถด้วยเท้าซ้ายเพียงข้างเดียว เมื่อทำได้ ความมั่นใจและกำลังใจค่อยๆ ฟื้นคืน  ระหว่างการฟื้นฟูร่างกายจากเคมีบำบัด ลุงพลได้รับรู้ข้อมูลประโยชน์ของน้ำข้าวโพดที่มีแอนติออกซิแดนท์สูง และเมื่อศึกษาเชิงลึกพบว่า “วัตถุดิบ” ที่ดีจะทำให้ได้ผลิตภัณฑ์น้ำข้าวโพดที่แตกต่างจากท้องตลาด นั่นคือเลือกใช้ข้าวโพดที่มีอายุไม่เกิน 65 วัน และตัดจากไร่ส่งมาถึงโรงผลิตไม่เกิน 12 ชั่วโมง ทำการคั้นพร้อมซาง เพราะจมูกเมล็ดข้าวโพดที่ติดอยู่กับซาง อุดมไปด้วยสารอาหารที่เสริมสร้างเซลล์

ปัจจุบันลุงพลมีโรงงานผลิตน้ำข้าวโพดขนาดเล็กอยู่ที่จังหวัดราชบุรี โดยรับข้าวโพดสดมาจากอำเภอสวนผึ้ง  และนำน้ำข้าวโพดออกขายตามตลาดนัดและงานอีเวนต์ต่างๆ “กำลังใจ อาจหาได้จากคนรอบข้าง แต่ความเข้มแข็ง ต้องสร้างจากใจของเราเอง”

วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2567

กรมการท่องเที่ยว ยกระดับศักยภาพบุคลากรท่องเที่ยว

สู่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “ธุรกิจท่องเที่ยวไทย ก้าวไปอย่างยั่งยืน : ลดต้นทุน สร้างกำไร ใส่ใจสิ่งแวดล้อม”

กรมการท่องเที่ยว โดยความร่วมมือจากโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) จัดอบรมยกระดับศักยภาพบุคลากรท่องเที่ยว สู่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “ธุรกิจท่องเที่ยวไทย ก้าวไปอย่างยั่งยืน : ลดต้นทุน สร้างกำไร ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” พร้อมกัน 3 พื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีบุคลากรท่องเที่ยวทั่วประเทศให้ความสนใจ เข้าร่วมอบรมกว่า 600 คน


วันนี้ (13 มีนาคม 2567) นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว เป็นประธานในพิธีเปิดการอบรม “ธุรกิจท่องเที่ยวไทย ก้าวไปอย่างยั่งยืน : ลดต้นทุน สร้างกำไร ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” ซึ่งจัดขึ้นพร้อมกัน 3 พื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีผู้บริหารกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรมการท่องเที่ยว ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาติ (UNDP) และผู้แทนภาคเอกชน ร่วมพิธีเปิดการอบรม ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร และส่งสัญญาณถ่ายทอดสดไปยังจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งระหว่างการอบรมผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ได้ร่วมกล่าวถึงบทบาทของ UNDP ในการส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และกิจกรรมต่าง ๆ ที่ดำเนินการร่วมกับประเทศไทย รวมถึงบรรยายพิเศษในหัวข้อ SDGs กับการท่องเที่ยว  


นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว กล่าวว่า การอบรมดังกล่าวได้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 - 14 มีนาคม 2567 พร้อมกัน 3 พื้นที่ ได้แก่ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร โรงแรมเชียงใหม่ แกรนด์วิว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ และโรงแรมวังใต้ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพและองค์ความรู้ให้แก่ผู้ประกอบการและบุคลากรด้านการท่องเที่ยวให้รับทราบถึงรูปแบบการบริหารจัดการและการให้บริการด้านการท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบและยั่งยืน คำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมในมิติต่างๆ สามารถนำองค์ความรู้จากการอบรมไปประยุกต์ใช้และพัฒนาธุรกิจที่สร้างคุณค่าและความสร้างสมดุลทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตามแนวโน้มของการให้บริการในอนาคตต่อไป การอบรมดังกล่าวได้รับเกียรติจากวิทยากรชั้นนำของประเทศ บรรยายในหัวข้อ อาทิ เปิดประตูสู่การยกระดับธุรกิจด้วยคุณค่าของการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน การบริการที่เป็นเลิศสำหรับการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน การขับเคลื่อนธุรกิจท่องเที่ยวสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน แนวปฏิบัติที่ดีของการบริการและบริหารจัดการการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบและยั่งยืน พร้อมกิจกรรม Workshop ทุกช่วงของการอบรม 


นอกจากนี้ ในสัปดาห์หน้ากรมการท่องเที่ยวยังต่อยอดขยายพื้นที่เป้าหมายให้มีการจัดอบรมในรูปแบบออนไลน์ ระหว่างวันที่ 20 - 21 มีนาคม 2567 เพื่อให้ผู้ประกอบการ บุคลากรด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดอื่นทั่วประเทศ ได้มีโอกาสและรับทราบถึงแนวการให้บริการด้านการท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบและยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “ธุรกิจท่องเที่ยวไทย ก้าวไปอย่างยั่งยืน : ลดต้นทุน สร้างกำไร ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” เช่นเดียวกันต่อไป  

#กรมการท่องเที่ยว #DOT #ท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน #Tourism #SustainableDevelopmentsGoals #SDGs #BCG #ResponsibleTourism #บุคลากรด้านการท่องที่ยว #ธุรกิจท่องเที่ยวไทยก้าวไปอย่างยั่งยืน

แถลงข่าว “โครงการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก จังหวัดอุทัยธานี ประจำปี 2567”


เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2567 ณ ลานสะแกกรัง อำเภอเมืองอุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี  นายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี พร้อมด้วย นายเผด็จ นุ้ยปรี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุทัยธานี  พล.ต.ต.ณรงค์เดชศ์  ศักดิ์สมบูรณ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุทัยธานี  นางสาวปานัดฌา  ไทยเศรษฐ์ นายกเทศมนตรีเมืองอุทัยธานี และนางไพรลิน นุ้ยปรี ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดอุทัยธานี  ร่วมกันแถลงข่าว "งานเทิดพระเกียรติสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก จังหวัดอุทัยธานี ประจำปี 2567”
ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-9 เมษายน 2567 



โดยงานนี้เป็นการร่วมมือกันในหลายส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน ไม่ว่าจะเป็นจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุทัยธานี / ตำรวจภูธรจังหวัดอุทัยธานี / เทศบาลเมืองอุทัยธานี และ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดอุทัยธานีในขณะที่ นายเผด็จ  นุ้ยปรี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุทัยธานี กล่าวว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัดอุทัยธานี มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้จัดสรรสนับสนุนงบประมาณ จำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท และสนับสนุนในด้านอื่นๆ ...ในการจัด "งานเทิดพระเกียรติสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก จังหวัดอุทัยธานี ประจำปี 2567”  ในปีนี้ ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-9 เมษายน 2567 โดยงานนี้จัดขึ้น เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก โดยในงานนี้มีกิจกรรมหลัก ๆ คือ 

๑. ชิม ช้อป สินค้าเด่นของจังหวัดอุทัยธานี 

๒. ชมการแสดงศิลปวัฒนธรรมจากเยาวชนและประชาชนชาวจังหวัดอุทัยธานี

๓. ชมอุโมงค์ไฟเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐

๔. ชมน้ำพุดนตรีที่ยิ่งใหญ่ตระการตา

๕. ช้อปไม่มีเบื่อกับคาราวานสินค้าราคาถูก

๖. ชมการแสดงมินิคอนเสิร์ตจากเหล่าศิลปินนักร้องชื่อดังตลอด ๙ วัน ๙ คืน 

- ๑ เมษายน พบกับ พี สะเดิด

- ๒ เมษายน พบกับ การแสดงรำเทิดพระเกียรติ

- ๓ เมษายน พบกับ ลิเกดังคณะ อดิเทพ ฟ้ารุ่ง

- ๔ เมษายน พบกับ ลิเกดังคณะ ซัน ยุ้งข้าวเรคคอร์ด

- ๕ เมษายน พบกับ ลิเกดังคณะ ลูกกบ เสียงหวาน

- ๖ เมษายน พบกับ ลิเกดังคณะ รวมดาว

- ๗ เมษายน พบกับ 7 Days Crazy (เซเว่นเดยส์ เครซี่)

- ๘ เมษายน พบกับ ทราย The gentlemans 

- ๙ เมษายน พบกับ ศิลปินราชินีสาวดอกหญ้า ต่าย อรทัย




ในขณะที่ พล.ต.ต.ณรงค์เดชศ์  ศักดิ์สมบูรณ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุทัยธานี กล่าวว่า จังหวัดอุทัยธานีได้บูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในพื้นที่ ได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชนกลุ่มองค์กรต่างๆเพื่อเป็นการสร้างความประทับใจให้แก่ผู้มาเที่ยวงานและชาวจังหวัดอุทัยธานี มีความสุข และเกิดประโยชน์สูงสุด ทางตำรวจภูธรจังหวัดอุทัยธานี มีการดำเนินงานได้มีการจัดเตรียมเจ้าหน้าที่ และสถานที่จัดงาน ระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ในเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการจราจร ทางเราได้เตรียมเจ้าหน้าที่ในการดูแลความเรียบร้อยตลอดการจัดงาน รับรองได้ว่านักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมในงานของเราได้รับความสะดวกสบายแน่นอน ในขณะที่ นางสาวปานัดฌา ไทยเศรษฐ์ นายกเทศมนตรีเมืองอุทัยธานี กล่าวว่า การมีส่วนร่วมของชุมชน /ร้านค้า/กระตุ้นเศรฐกิจชุมชนจังหวัดอุทัยธานี โดยการนำสินค้าที่ดีมีคุณภาพของจังหวัดอุทัยธานี มาจำหน่ายภายในงานให้พ่อแม่พี่น้องนักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อ ชมสินค้าที่ดีมีคุณภาพที่ได้ผ่านการพัฒนาและรับรองจากหน่วยงานต่างๆ ภัณฑ์ การสร้างเรื่องเรื่องราวของสินค้า และมีมาตรฐานรับรองคุณภาพ และผลักดันด้านการประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างการรับรู้ไปยังกลุ่มเป้าหมายทั้งชาวไทยและต่างชาติ ก็จะทำให้ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว ดังนั้นหากได้มีการพัฒนาและเตรียมความพร้อมทั้งแหล่งท่องเที่ยว สินค้า และบริการ ในการต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวไทยและรวมไปถึงชาติอื่นๆที่จะเข้ามาท่องเที่ยว ก็จะทำให้เป็นการ เพิ่มศักยภาพการท่องเที่ยวของจังหวัดให้มีความเข้มแข็ง สร้างโอกาสและรายได้ให้กับจังหวัดและชุมชนได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนและในขณะที่ นางไพรลิน นุ้ยปรี ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดอุทัยธานี กล่าวว่า 






ด้านการท่องเที่ยวในจังหวัด และ ภาคเอกชนสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดอุทัยธานี เป็นองค์กรภาคเอกชน มีบทบาทหน้าที่ในการกำหนดแผนการท่องเที่ยวและขับเคลื่อนนโยบายด้านการท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมไปถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการท่องเที่ยว เป็นตัวแทนของผู้ประกอบอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในด้านของการประสานงานอย่างมีระบบระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนเข้าด้วยกัน ส่งเสริมให้มีการอนุรักษณ์ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี สถานที่ท่องเที่ยว โบราณสถาน และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเอกลักษณ์ของจังหวัดอุทัยธานี และมีระบบการรับรองคุณภาพ ระบบมาตรฐาน และระบบป้องกันคุณภาพของธุรกิจที่เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการนักท่องเที่ยว รวมไปถึงการประชาสัมพันธ์ข้อมูล ข่าวสาร การจัด "งานเทิดพระเกียรติสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก จังหวัดอุทัยธานี ประจำปี 2567”

จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-9 เมษายน 2567 ณ สวนน้ำเฉลิมพระเกียรติ (บึงพระชนก) จังหวัดอุทัยธานี ที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวต่อสมาชิก และบุคคลประชาชนทั่วไป ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ


วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2567

“บีไชน์ เนเจอร์ซี” วิตามินซีเสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัด บำรุงผิวใส

จัดโปรโมชั่นสุดคุ้ม เหลือเพียง 189 บาท ช้อปได้ที่ 7-Eleven 

“บีไชน์ เนเจอร์ซี” (B Shine NaturC) วิตามินซีจากธรรมชาติ อะเซโรลา เชอร์รี่ สกัดเข้มข้น                         ผสานคุณประโยชน์ของผลไม้สกัด ที่อุดมไปด้วยไฟโตนิวเทรียนท์และสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง ช่วยดูแลสุขภาพ เสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัด และภูมิแพ้ พร้อมช่วยบำรุงผิวใส สุขภาพดี “บีไชน์ เนเจอร์ซี” เป็นวิตามินซีธรรมชาติ 100% จึงสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดี และคงอยู่ในร่างกายได้นาน ไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร ทั้งยังมีซิตรัสไบโอฟลาโวนอยด์ในปริมาณสูงที่มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซีเข้าสู่ร่างกายให้ดียิ่งขึ้น บีไชน์ เนเจอร์ซี แบบเม็ด ทานง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่รักสุขภาพทั้งวัยหนุ่ม สาวและผู้สูงอายุ 

ส่วนประกอบสำคัญใน 1 เม็ด “บีไชน์ เนเจอร์ซี” มีสารสกัดที่มีประโยชน์จากผลไม้และผักหลากชนิด รับประทานเพียงวันละ 1 เม็ด พร้อมมื้ออาหาร มื้อเช้าหรือเย็น เพิ่มประสิทธิภาพเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ดีต่อผิวพรรณและสุขภาพ ทุกคนต้องหมั่นดูแลร่างกายให้แข็งแรงอยู่ตลอดเวลา เพื่อเป็นภูมิต้านทานที่ดีต่อสู้กับเชื้อโรคร้าย และมลภาวะที่เป็นพิษที่อยู่รอบตัวเรา อยากให้ทุกคนพร้อมดูแลตัวเองและช่วยดูแลคนรอบข้างที่เรารักให้มีร่างกายแข็งแรง สุขภาพดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ด้วยความปรารถนาดีจากบีไชน์  


“บีไชน์ เนเจอร์ซี” วิตามินซีธรรมชาติ 100% ขนาดบรรจุ 30 เม็ด แถมฟรีอีก 5 เม็ดในขวด รวมเป็น 35 เม็ด จัดโปรโมชั่นสุดคุ้มลดราคาพิเศษ เหลือเพียง 189 บาท จากปกติ ราคา 249 บาท ตั้งแต่วันนี้ - 23 มีนาคม 2567 หาซื้อได้ที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทุกสาขาทั่วประเทศ

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.bshine.co.th,
FB : https://www.facebook.com/naturcacerolacherry และ Line : @Bshine

“คิทโด้” วิตามินเม็ดเคี้ยว 2 สูตร 2 รสชาติ ประโยชน์เน้นๆ ทานได้ทุกวัย

พิเศษเพียงซองละ 39 บาท ที่เซเว่น อีเลฟเว่น ทุกสาขา

“คิทโด้” วิตามินเม็ดเคี้ยว ตัวใหม่ที่ฮอตฮิตติดกระแส ได้รับการตอบรับอย่างดี มีให้เลือก 2 สูตร 2 รสชาติ เคี้ยวอร่อย อัดแน่นไปด้วยคุณภาพพร้อมประโยชน์เน้นๆ อุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นครบถ้วนในแต่ละวัน สูตรแรก “คิทโด้ ไอมู อะเซโรลา ซี พลัส มัลติวิตามิน” ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และ สูตรที่สอง “คิทโด้ โปร ดีเอชเอ พลัส บิลเบอร์รี่” บำรุงสมองและสายตา ไม่ว่าจะซื้อเป็นของฝากให้หนูๆ น้องๆ หรือซื้อทานเองก็อร่อยถูกใจทุกเพศทุกวัย ทานได้ทุกวัน อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ ปลอดภัย มีงานวิจัยรองรับ และการรับรองจาก อย. ประเทศไทย

“คิทโด้ ไอมู อะเซโรลา ซี พลัส มัลติวิตามิน” (KITDO IMU Acerola C Plus Mutivitamin) วิตามินเม็ดเคี้ยว รสส้ม ประกอบด้วย วิตามินซีจากธรรมชาติ อะเซโรลา เชอรี่ สกัด นำเข้าจากสวิตเซอร์แลนด์ ที่มีงานวิจัยรับรองว่าเป็นวิตามินซีที่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้เร็ว และคงอยู่ในร่างกายได้นานกว่าวิตามินซีสังเคราะห์ทั่วไป โดยวิตามินซีธรรมชาตินี้จะไม่ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารและไต และไม่ทำลายสารเคลือบฟัน ผสานกับ ซิตรัส ไบโอฟลาโวนอยด์, ซิงค์ และวิตามินรวม 13 ชนิด เพื่อเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันการติดเชื้อหวัด ช่วยลดโอกาสการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียหลายชนิด ลดอาการภูมิแพ้ และป้องกันการขาดวิตามินในร่างกาย เพิ่มความแข็งแรง

“คิทโด้ โปร ดีเอชเอ พลัส บิลเบอร์รี่” (KITDO Pro DHA plus Bilberry) วิตามินเม็ดเคี้ยว รสมิกซ์เบอร์รี่ ประกอบด้วย น้ำมันปลาทูน่าบริสุทธิ์ นำเข้าจากออสเตรเลียที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 (Omega 3) ได้แก่ ดีเอชเอ (DHA) ที่มีคุณสมบัติทำให้การเชื่อมต่อและสื่อสารระหว่างเซลล์สมองมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ยิ่งเซลล์สมองมีการเชื่อมต่อได้มากขึ้น ส่งผลให้การเรียนรู้เร็วขึ้นและความจำดีขึ้น ผสานกับ โคลีน ที่ช่วยเพิ่มสารสื่อนำประสาท พร้อมด้วย แอล-ไลซีน และ วิตามินบีรวม 7 ชนิด ได้แก่ วิตามินบี 1, วิตามินบี 3, วิตามินบี 5, วิตามินบี 6, วิตามินบี 12, กรดโฟลิค และไบโอติน ผสานกับ สารสกัดจากบิลเบอร์รี่, เบอร์รี่รวม 6 ชนิด และวิตามินเอ เพื่อการดูแลสมองและสายตา เสริมสร้างการทำงานของระบบประสาทและสมอง บำรุงสายตา ช่วยในการมองเห็น ลดอาการตาแห้ง ลดความอ่อนล้าจากการใช้สายตาเป็นเวลานาน เช่น ใครที่ใช้สายตาจ้องมือถือ iPad คอมพิวเตอร์บ่อยๆ ต้องลองสูตรนี้ 

เพื่อให้ร่างกายได้รับปริมาณสารอาหารและวิตามินครบถ้วนในแต่ละวัน แนะนำให้รับประทานคิทโด้สูตรละ 1-3 เม็ดต่อวัน เม็ดเคี้ยว อร่อยดีมีประโยชน์ ทานง่าย หอมกลิ่นผลไม้ ไม่เติมน้ำตาล ไม่ใส่สารกันเสีย เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัว 

โปรโมชั่นสุดคุ้ม คิทโด้ วิตามินเม็ดเคี้ยว 2 สูตร 2 รส เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง บำรุงสมองและสายตาที่ดีของน้องๆ หนูๆ และทุกคน ด้วยราคาพิเศษ คิทโด้ 1 ซอง บรรจุ 12 เม็ด แถมฟรีอีก 3 เม็ด (แถมในซอง) รวมเป็น 15 เม็ด/ซอง พิเศษซองละ 39 บาท จากปกติ 49 บาท ช่วยประหยัดถึง 10 บาท หาซื้อได้ตั้งแต่วันนี้ - 23 มีนาคม 2567 ที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทุกสาขาทั่วประเทศ

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมของ “คิทโด้” ทั้ง 2 สูตร 2 รสชาติ
เว็บไซต์ www.bshine.co.th/kitdo/, FB : https://www.facebook.com/kitdoclub และ Line : @Kitdo

ข่าวประชาสัมพันธ์

วิวัฒนาการของแบรนด์ไทยสู่ตลาดโลก ในงาน STYLE Bangkok 2024

เตรียมตื่นตาตื่นใจกับหลากหลายแบรนด์ไทยที่ไปผงาดในเวทีตลาดโลก ในงาน STYLE Bangkok 2024 มหกรรมแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์ชั้นนำของเอเชีย ระหว่างวันที่...

โวยวายดอทคอม