วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2568

Full Circle Biotechnology เผยวิสัยทัศน์ธุรกิจอาหารสัตว์ยั่งยืน

หนึ่งเดียวจากไทยเข้ารอบ 18 Finalist “2025 THRIVE Global Impact Challenge”


กรุงเทพฯ, 30 สิงหาคม 2568 — บริษัท ฟูลเซอร์เคิล ไบโอเทคโนโลยี จำกัด (Full Circle Biotechnology) จัดงานเสวนาและเวิร์คชอปแก่สื่อมวลชนและกลุ่มนักลงทุนเพื่อประกาศความสำเร็จในฐานะบริษัทสัญชาติไทยหนึ่งเดียวที่เข้ารอบสุดท้าย 1 ใน 18 บริษัทจากทั่วโลกในโครงการ “2025 THRIVE Global Impact Challenge ในสาขาเทคโนโลยีทางด้านอาหาร (Food Technology) ในปีนี้ พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์โปรตีนทดแทนจากหนอนแมลงวันลาย ที่เป็นนวัตกรรมใหม่สำหรับอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ จัดขึ้น ณ ชิมเดย์ คาเฟ่ จังหวัดนครปฐมโดยมี คุณ ฟิลิกซ์  คอลลินส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้งบริษัทฯ ให้เกียรติกล่าวต้อนรับสื่อมวลชนและแขกผู้มีเกียรติ พร้อมนำเสนอข้อมูลธุรกิจในภาพรวม ตลอดจนการสัมภาษณ์เกษตรกรผู้ใช้ผลิตภัณฑ์จริงเพื่อสะท้อนประโยชน์และผลลัพธ์จากการใช้อาหารสัตว์ของบริษัท


กรุงเทพฯ, 30 สิงหาคม 2568 — บริษัท ฟูลเซอร์เคิล ไบโอเทคโนโลยี จำกัด (Full Circle Biotechnology) จัดงานเสวนาและเวิร์คชอปแก่สื่อมวลชนและกลุ่มนักลงทุนเพื่อประกาศความสำเร็จในฐานะบริษัทสัญชาติไทยหนึ่งเดียวที่เข้ารอบสุดท้าย 1 ใน 18 บริษัทจากทั่วโลกในโครงการ “2025 THRIVE Global Impact Challenge ในสาขาเทคโนโลยีทางด้านอาหาร (Food Technology) ในปีนี้ พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์โปรตีนทดแทนจากหนอนแมลงวันลาย ที่เป็นนวัตกรรมใหม่สำหรับอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ จัดขึ้น ณ ชิมเดย์ คาเฟ่ จังหวัดนครปฐมโดยมี คุณ ฟิลิกซ์  คอลลินส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้งบริษัทฯ ให้เกียรติกล่าวต้อนรับสื่อมวลชนและแขกผู้มีเกียรติ พร้อมนำเสนอข้อมูลธุรกิจในภาพรวม ตลอดจนการสัมภาษณ์เกษตรกรผู้ใช้ผลิตภัณฑ์จริงเพื่อสะท้อนประโยชน์และผลลัพธ์จากการใช้อาหารสัตว์ของบริษัท

คุณฟิลิกซ์  คอลลินส์ กล่าวว่า “บริษัท ฟูลเซอร์เคิล ไบโอเทคโนโลยี จำกัด ก่อตั้งขึ้นด้วยความเชื่อมั่นว่าการพัฒนาอาหารสัตว์ควรเดินควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคม เราภูมิใจที่ได้เป็นตัวแทนจากประเทศไทยเพียงหนึ่งเดียวในเวทีโลกครั้งนี้ และจะมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือกที่ยั่งยืน เพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหารและช่วยเกษตรกรให้มีรายได้ที่มั่นคงขึ้น”

ในปีนี้บริษัทมีแผนสร้างโรงงานแห่งใหม่ในประเทศไทย ซึ่งจะสามารถผลิตอาหารสัตว์จากโปรตีนคาร์บอนต่ำ มากถึง 7,000 ตันต่อปี เพื่อนำไปผลิตอาหารทะเลที่ยั่งยืนมากกว่า 13 ล้านมื้อต่อปี ซึ่งมากกว่าสองเท่าของยอดขาย Beyond Meat ในร้านอาหารสหรัฐฯ ด้วยการผสานนวัตกรรม วิสัยทัศน์ และความรับผิดชอบต่อสังคม จะช่วยให้เกษตรกรลดต้นทุน ย่นระยะเวลาเพาะเลี้ยง และผลิตอาหารที่ดีต่อผู้บริโภคและดีต่อโลกในเวลาเดียวกัน บริษัทเชื่อมั่นว่าจะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ไทยสู่ความยั่งยืนในระดับโลก”

“โปรตีนของฟูลเซอร์เคิลสามารถเป็น คาร์บอนเนกาทีฟถึง 42% (ตามผลการศึกษาภายในปี 2023) และสามารถทดแทนปลาป่นได้สูงสุด 75% ซึ่งถือว่าสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาในตลาดเชิงพาณิชย์ ภายใน 12 เดือนที่ผ่านมา บริษัทได้สร้างผลงานดังนี้: ผลิตอาหารสัตว์ยั่งยืนและวัตถุดิบอาหารสัตว์ 280 ตัน, อาหารทะเลยั่งยืนที่ผลิตจากเกษตรกรพันธมิตร 200 ตัน เทียบเท่าอาหารยั่งยืนที่ส่งถึงผู้บริโภคจำนวน 500,000 มื้อ” คุณฟิลิกซ์  กล่าวสรุป

คุณณัฐนนท์ บุญหล้า ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้อำนวยการฝ่ายปฎิบัติการบริษัท ฟูลเซอร์เคิล ไบโอเทคโนโลยี จำกัด กล่าวเสริมว่า“ความสำเร็จครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงศักยภาพด้านนวัตกรรมของเรา แต่ยังเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าธุรกิจไทยสามารถก้าวสู่เวทีโลกได้อย่างภาคภูมิใจ เราจะต่อยอดงานวิจัยและเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาสูตรอาหารสัตว์ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านคุณภาพ การแข่งขัน และความยั่งยืน เพื่อยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ไทย และสร้างคุณค่าให้กับผู้มีส่วนร่วมทุกภาคส่วน” 

นอกจากนี้ คุณธนพนธ์ ศรีภักดี จากมงคลฟาร์มปลาช่อน ม.5 เกษตรกรเลี้ยงปลาช่อนชื่อดังจากกาฬสินธุ์ ผู้ใช้อาหารสัตว์จากบริษัทฯ ยังได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ว่า “จากการใช้ผลิตภัณฑ์อาหารปลาของบริษัทฯ ได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ ปลาที่อายุน้อยฟื้นตัวเร็วและเติบโตอย่างแข็งแรงเร็วกว่าปกติ อาหารมีประสิทธิภาพ อัตราการรอดชีวิตสูงขึ้นอย่างชัดเจน และเกล็ดปลามีความแข็งแรง สำหรับปลาที่โตเต็มวัย อาหารช่วยให้กล้ามเนื้อแน่น และไขมันลดลงอย่างมาก ช่วยลดต้นทุนและคุณภาพถือว่าดีเยี่ยม”





คุณธงชัยเกษตรกรปลาชะโอนชื่อดังจากภาคใต้ เสริมว่า “อาหารที่ใช้มีปริมาณโปรตีนสูง ประทับใจในประสิทธิภาพ ปลากินอาหารได้ดี อาหารมีกลิ่นหอมและส่งผลดีต่อโครงสร้างร่างกายของปลา ทำให้ปลาแข็งแรง โตเร็ว และสุขภาพดีภายในเวลาสั้น ๆ ผิวปลามีความมันวาว เนื้อแน่น และมีสีเหลืองอ่อน ปัจจุบันระยะเวลาให้อาหารก่อนการส่งขายสั้นลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบราคาและคุณภาพมีความคุ้มค่าเพราะมีประสิทธิภาพดีเยี่ยมการอาหารอื่นที่เคยใช้มา”

ในด้านการเติบโตทางธุรกิจนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ฟูลเซอร์เคิล ไบโอเทคโนโลยี จำกัด บริษัทฯ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้าครอบคลุมเกษตรกรทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับพันธมิตรระดับสากล ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการอาหารสัตว์โปรตีนทดแทนที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ตอกย้ำศักยภาพการเป็นผู้นำด้านอาหารสัตว์ยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

อาหารสัตว์โปรตีนจากหนอนแมลงวันลายของบริษัท ฟูลเซอร์เคิล ไบโอเทคโนโลยี จำกัด ทำให้สัตว์แข็งแรง โตไว ลดต้นทุนการเลี้ยง และยังช่วยตอบโจทย์ตลาดที่มองหาสินค้าเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ถือว่าเป็นประโยชน์จริงทั้งต่อเกษตรกรและผู้บริโภค หลังจากนั้นผู้ร่วมงานยังได้เข้าร่วม “กิจกรรม Aquaculture Workshop”  เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการเลี้ยงสัตว์น้ำยุคใหม่ และปิดท้ายด้วยการรับประทานอาหารค่ำร่วมกันในบรรยากาศอบอุ่น




บริษัท ฟูลเซอร์เคิล ไบโอเทคโนโลยี จำกัด มุ่งมั่นสู่ ESG อย่างเป็นรูปธรรม ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยกรอบ ESG (Environment, Social, Governance) อย่างเคร่งครัด โดยผลิตอาหารสัตว์ที่ช่วยลดการใช้ปลาป่น ลดการปล่อยคาร์บอน และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าช่วยด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและพัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทยด้านสังคม และดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส มีมาตรฐานสากล และตรวจสอบได้

วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2568

ไดมารุ - ซีจีโอ.คอม - สึกิซุเตะ อิงค์ เปิดมุมมองใหม่ธุรกิจไทย–ญี่ปุ่น

ในงานสัมมนา JPOP Marketing Forum 2025
ไดมารุ - ซีจีโอ.คอม - สึกิซุเตะ อิงค์ เปิดมุมมองใหม่ธุรกิจไทย–ญี่ปุ่น ในงานสัมมนา JPOP Marketing Forum 2025 แนะเคล็ดลับใช้วัฒนธรรม JPOP, Gyaru และ Underground Idol สร้างพลังการตลาดเชื่อมโลกดิจิทัลและผู้บริโภครุ่นใหม่
ในงานสัมมนา Japan Pop Culture Marketing Forum in Thailand 2025 ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศญี่ปุ่น ทั้งภาคธุรกิจ ที่ปรึกษาการตลาด และวงการบันเทิง ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้วัฒนธรรมญี่ปุ่น JPOP และ Sub Culture เป็นเครื่องมือทางการตลาดยุคใหม่ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเปิดโอกาสธุรกิจใหม่ๆ แก่นักธุรกิจและนักการตลาดของไทย

นายหลุยส์ โอคาซากิ ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายพัฒนาธุรกิจดิจิทัล บริษัท ไดมารุ มัตสึซากายะ ดีพาร์ทเมนท์ สโตร์ จำกัด ห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อเสียงอันดับต้นของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีบทบาทในการเชื่อมโยงวัฒนธรรม สินค้า และนวัตกรรมเข้ากับผู้บริโภคญี่ปุ่นและต่างประเทศ กล่าวในงานสัมมนา Japan Pop Culture Marketing Forum in Thailand 2025 เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์เชิงกลยุทธ์ สร้างแรงบันดาลใจ และโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ แก่นักการตลาดไทย ในการผสมผสานวัฒนธรรม JPOP จนเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงอิทธิพลว่า วัฒนธรรม JPOP ไม่ว่าจะเป็น อนิเมะ ศิลปะการแสดง และอินฟลูเอนเซอร์ มีการเติบโตและได้รับความนิยมจนเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจในญี่ปุ่นและขยายไปยังหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย

ในญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์ ผู้ค้าปลีก ห้างสรรพสินค้า ต่างมีการใช้การตกแต่ง จัดกิจกรรม และการแสดงที่ใช้วัฒนธรรม JPOP มาเป็นเครื่องมือการตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยกลไกที่ทำให้การใช้วัฒนธรรม JPOP ในเชิงการตลาดประสบความสำเร็จ คือ การระดมแฟนคลับเพื่อสร้างความเชื่อมโยงและการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการตลาดได้อย่างลึกซึ้งและเป็นระบบ ทั้งนี้การเป็นวัฒนธรรมเปิดของ JPOP ยังมีความยืดหยุ่นสูงทำให้ปรับเปลี่ยนรูปแบบฟังก์ชั่นและช่องทางการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเหมาะสม แม้ในกลุ่มเฉพาะอย่าง GenZ หรือ Sub Culture
ปัจจุบันมีการใช้วัฒนธรรม JPOP เป็นเครื่องมือการสร้างการสื่อสารทั้งในเชิงลึกและกว้างไปพร้อมๆ กัน โดยในเชิงลึก (Depth) เพื่อสร้างคอนเทนต์กับกลุ่มแฟนให้เหนียวแน่น ส่วนในเชิงกว้าง (Breadth) เพื่อกระจายแบบไวรัลช่วยให้เข้าถึงผู้คนได้หลากหลายขึ้น นอกจากนั้นยังมีการพัฒนาใช้วัฒนธรรม JPOP เฉพาะที่เป็น Sub Culture มากขึ้น อาทิ ไอดอลใต้ดิน (Underground Idol) หรือ สาวแกล (Gyaru culture) รวมถึงยังได้ขยายช่องทางการสื่อสารและพัฒนาธุรกิจที่เชื่อมโยงวัฒนธรรม JPOP เข้าไปสู่โลกดิจิทัล โซเชียลมีเดีย และเมทาเวิร์ส อีกด้วย ซึ่งนักการตลาดของไทยก็สามารถใช้แนวทางเดียวกันเพื่อเชื่อมโยงวัฒนธรรม JPOP และ Sub Culture เพื่อเป้าหมายทางการตลาด การสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย และโลกดิจิทัลได้ด้วยแนวทางเดียวกัน


ส่วนนางสาวริคาโกะ ทาเคโนะ ผู้ก่อตั้งและประธาน บริษัท ซีจีโอ.คอม จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจที่ปรึกษาการพัฒนาองค์กร นวัตกรรม ธุรกิจ การตลาดและการสื่อสาร ด้วยวัฒนธรรม Gyaru กล่าวในงานสัมมนาเดียวกันถึงบทบาทของวัฒนธรรม Gyaru และการเชื่อมโยงต่อยอดสู่ภาคธุรกิจว่า วัฒนธรรมแกล, เกล หรือ เกียวรุ (Gyaru) เริ่มขึ้นในย่านชุบุยะ โตเกียว ในฐานะภาพสะท้อนของการแสดงออกถึงความเป็นปัจเจกที่เข้มแข็ง สมาชิกแกล จะมีลักษณะเด่นด้วยการแต่งหน้าจัดจ้าน ผิวแทน ทำผมสีสว่างสดใส จนปลายทศวรรษ 2010 วัฒนธรรมนี้ได้แพร่หลายไปทั่วญี่ปุ่นและต่างประเทศ ปัจจุบัน Gyaru ได้รับการยอมรับในความหมายที่ลึกซึ้งกว่ารูปลักษณ์ภายนอก โดยถูกมองว่าเป็น “ทัศนคติและวิถีชีวิต” ที่เป็นอิสระ มีความเชื่อมั่น และคิดบวก



ดังนั้นวัฒนธรรม Gyaru จึงถูกนำมาเชื่อมโยงกับธุรกิจในหลายลักษณะ ในด้านการพัฒนาองค์กรและการสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงาน ทัศนคติแบบ Gyaru ช่วยขับเคลื่อนสร้างความเชื่อมั่นในสัญชาตญาณ การคิดบวก ส่งเสริมการแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาและการทำงานเชิงรุก ด้านการสื่อสาร การสื่อสารสไตล์ Gyaru จะเปิดกว้าง เท่าเทียม และเปิดเผยตนเองมากขึ้น ทำให้เกิดการสนทนาที่สร้างสรรค์ระหว่างคนต่างวัย-ต่างแผนกในองค์กร สำหรับในเชิงการตลาดนั้น วัฒนธรรม Gyaru มีความไวต่อเทรนด์และสะท้อนออกมาได้อย่างชัดเจน ทำให้สื่อสารออกมาได้อย่างโดดเด่น ทั้งภาพลักษณ์ ภาษา และเข้าถึงง่าย พร้อมทั้งช่วยสื่อสารในเนื้อหาที่ยากหรือเป็นทางการให้น่าสนใจและง่ายขึ้น รวมถึงยังสร้างความสนใจจากสื่อจนเกิดเป็นกระแสไวรัลและเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภควัยรุ่นที่การตลาดแบบเดิมเข้าไม่ถึง ซึ่งการใช้วัฒนธรรม Gyaru เข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาองค์กร ผลิตภัณฑ์ และบริการนั้น ทำได้ทั้งการส่งสมาชิก Gyaru เข้าไปในองค์กร เพื่อเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม (Gyaru-Style Brainstorming) หรือ แปลงไอเดียที่ได้จากเวิร์กช็อปกับสมาชิก Gyaru ให้เป็นผลิตภัณฑ์และธุรกิจจริง (Gyaru-Style Studio) ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีลูกค้ากว่า 100 ราย โดย 90% เป็นบริษัทขนาดใหญ่ อาทิ Mitsubishi Pencil Co., Ltd., Suzuki Motor Corporation, Nissan Motor Co., Ltd., Fujitsu Limited ฯลฯ
สำหรับวัฒนธรรม Gyaru ในประเทศไทยนั้น แม้จะไม่มีข้อมูลอย่างเป็นทางการ แต่แฟชั่นวัยรุ่นญี่ปุ่นก็ได้รับความนิยมอย่างมากในไทย บนสื่อสังคมออนไลน์ อย่าง TikTok หรือ แพลตฟอร์มอื่นๆ ก็มีผู้ใช้งานชาวไทยจำนวนมากโพสต์เลียนแบบสไตล์และการแต่งหน้าแบบ Gyaru พร้อมติดแฮชแท็ก #gyaru ซึ่งสร้างการรับรู้ ความสนใจ และเข้าถึงได้มากขึ้น ดังนั้นหากธุรกิจไทยมีการนำวัฒนธรรม Gyaru มาปรับใช้ก็จะช่วยเพิ่มคุณค่าและมูลค่ากับกลุ่มเป้าหมายที่สนใจวัฒนธรรมนี้ได้ทั้งตลาดในประเทศและขยายสู่ตลาดญี่ปุ่นได้อีกด้วย
ด้านนางสาวโนโดกะ ซากุระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สึกิซุเตะ อิงค์ ผู้ให้บริการด้านที่ปรึกษาธุรกิจ การฝึกอบรม และเวิร์กชอป โดยอาศัยทักษะและประสบการณ์จากวงการบันเทิงมาเชื่อมโยงธุรกิจกับกิจกรรมการตลาด การสื่อสาร และการสร้างแบรนด์ โดยธุรกิจหลักของบริษัทฯ ประกอบด้วยการสนับสนุนอาชีพที่สอง (Second-career support) แก่ไอดอล นักแสดง และบุคลากรในวงการบันเทิงที่ต้องการเปลี่ยนสายอาชีพ การให้คำปรึกษาและพัฒนาธุรกิจที่ผสมผสานระหว่างความต้องการของวงการบันเทิงและภาคธุรกิจ การจัดเวิร์กช็อปที่นำทักษะของอดีตบุคลากรในวงการบันเทิงมาต่อยอดการเรียนรู้และสร้างคุณค่าใหม่ ซึ่งจุดแข็งสำคัญของบริษัทฯ คือการมีอดีตบุคลากรจากวงการบันเทิงเป็นแกนหลักของทีม ทำให้นำเสนอโซลูชันได้แบบครบวงจร ตั้งแต่การสนับสนุนศิลปิน การออกแบบโมเดลธุรกิจ ไปจนถึงการนำไปสู่การปฏิบัติจริง ปัจจุบัน สึกิซุเตะ อิงค์ ทำงานร่วมกับกว่า 150 บริษัท ในโครงการที่เกี่ยวข้องกับบุคลากร และมากกว่า 30 แห่ง ในด้านที่ปรึกษาและการออกแบบธุรกิจ อาทิ บริษัทประกันชีวิตไดอิจิ (Dai-ichi Life Insurance Company) มหาวิทยาลัยเรียวโกกุ (Ryukoku University) และมหาวิทยาลัยคันไซ กากุอิน (Kansai Gakuin University) ส่วนบทบาทที่เพิ่มขึ้นของ Underground Idol ด้านการตลาดและการสร้างแบรนด์ ซึ่งต่างจากอินฟลูเอนเซอร์ กระแสหลักที่มีผู้ติดตามจำนวนมากนั้น นางสาวโนโดกะ เผยว่า Underground Idol อาจไม่โดดเด่นในแง่ยอดผู้ติดตาม แต่สร้างการมีส่วนร่วมที่มีคุณภาพและแปลงเป็นผลลัพธ์เชิงธุรกิจ (High-conversion, Experience-based Engagement) ได้จริง ผ่านกิจกรรมอย่างการแสดงสด งานพบปะแฟนคลับ การถ่ายภาพ (Cheki) หรือการทำสินค้า Co-branding ซึ่งประสบการณ์เฉพาะเหล่านี้ช่วยสร้างความผูกพันทางอารมณ์อย่างลึกซึ้งกับแฟนๆ และเพิ่มอัตราการแปลงผล (Conversion Rate) ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะกับแคมเปญที่เน้นการสื่อสารเชิงประสบการณ์ (Immersive & Memorable Brand Interactions) ส่วนการนำ Underground Idol มาประยุกต์ใช้ในกลยุทธ์การตลาดของไทยนั้น นับเป็นโอกาสในการสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ ที่ต้องการสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้าให้ใกล้ชิดและแนบแน่นขึ้น พร้อมทั้งสร้างประสบการณ์ที่จริงใจขับเคลื่อนโดยชุมชน ทำให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่ต้องการแสวงหาหรือสร้างความสัมพันธ์ที่มากกว่าการโฆษณาในรูปแบบเดิมอีกด้วย
สำหรับผู้สนใจข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่คุณนาโอฮิสะ โอคาวะ อีเมล์ naohisa.okawa@jfr.co.jp

วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2568

Sheep ปลุกความน่ารักจากญี่ปุ่นสู่หัวใจคนไทย

 ผ่านคอนเซ็ปต์  “Monchhichi in Thailand” พามาสคอตดัง ตะลุยย่านทรงวาด               


แบรนด์เคสมือถือแฟชั่นสัญชาติไทย Sheep  สร้างกระแสส่งความน่ารักครั้งใหม่ให้กับตลาดเคสมือถือ ด้วยการเปิดตัวคอลเลคชั่นสุดเอ็กซ์คลูซีฟ “Sheep x Monchhichi”    ร่วมงานกับ Monchhichi คาแรกเตอร์ตุ๊กตาสุดไอคอนิกจากประเทศญี่ปุ่น    ที่ครองใจแฟน ๆ ทั่วโลก พร้อมเปิดประสบการณ์สุดพิเศษให้แฟนชาวไทยได้สัมผัสมาสคอต ดังตะลุยย่านทรงวาด        



Sheep”เคสสัญชาติไทยผู้ผลิตและออกแบบแก็ดเจ็ตที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดของสินค้าและคำนึงถึงภาพลักษณ์การใช้งานของผู้ใช้ ซึ่งเป็นแบรนด์สินค้าไทยจากร้าน AppleSheep แหล่งรวมสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์และไอที  เปิดตัวคอลเลคชั่น  Sheep x Monchhichi  มาเอาใจแฟนด่อม Monchhichi ชาวไทย

นายอภินันท์ ตรีรัตน์พิจารณ์ (คุณตุ่ย) Founder&CEO บริษัท ชีพ แก็ดเจ็ต จำกัด ผู้บริหารแบรนด์ Sheep เปิดเผยถึงเรื่องนี้ว่า   “มีกระแสเรียกร้องมายาวนาน ให้แบรนด์ Sheep ทำเคส ลาย Monchhichi เพราะต้องการพกเคส พาความน่ารัก ไปทุกๆที่ในทุกวันๆ เราถือเป็นอันดับแรกๆเลยก็ว่าได้ ที่ทำเคสคอแลปกับMonchhichi ซึ่งMonchhichiเป็นตุ๊กตาจากญี่ปุ่น เกิดจากฝีมือการสร้างสรรค์ของบริษัท Sekiguchi ประเทศญี่ปุ่น โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ใบหน้ากลม ดวงตาโต และเอกลักษณ์การดูดจุกนม สื่อถึงความรัก ความอ่อนโยน และความอบอุ่น  Monchhichiครองใจคนทุกเพศทุกวัยและยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องทั่วโลก 

สำหรับคอลเลคชั่น Sheep x Monchhichi ได้นำเสน่ห์ของ Monchhichi มาผสมผสานกับความเป็นแแบรนด์ sheep  ผ่านคอนเซ็ปต์ “Monchhichi in Thailand”  ถ่ายทอดภาพความน่ารักของมาสคอตแดนปลาดิบ  ที่ออกเดินทางมาสัมผัสวิถีไทยอย่างเต็มรูปแบบ  โดยSheep ได้พามาสคอต Monchhichi  ที่มีขนาดสูง 160 เซนติเมตร มาพร้อมกับใส่ผ้าพันคอกันเปื้อน ที่มีสัญลักษณ์ Sheep  ตะลุยเที่ยวเมืองไทย กรุงเทพฯ ย่านทรงวาด  ที่ผสมผสานเสน่ห์วัฒนธรรมเก่าแก่และความทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นการนั่งรถตุ๊กตุ๊ก เดินชมป้ายถนนเก่า และถ่ายภาพกับแลนด์มาร์คที่มีเอกลักษณ์แบบไทย เพื่อสื่อถึงการเชื่อมโยงสองวัฒนธรรมเข้าด้วยกันการพา Monchhichi มาเที่ยวไทยในครั้งนี้ไม่เพียงสร้างความประทับใจให้แฟนคลับเท่านั้นแต่ยังตอกย้ำภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก  โดยบรรยากาศวันที่เราพามาสคอต  Monchhichi ไปเดินที่ถนนทรงวาด มีแฟนคลับให้การต้อนรับกันแน่นอย่างอบอุ่น  หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูป แช๊ะภาพ เป็นจำนวนมาก   





สำหรับเคสคอลเลคชั่น Sheep x Monchhichi  ดีไซน์เคสที่สะท้อนความเป็นไทย ถ่ายทอดเรื่องราวสวัสดีม่อนชิชิ “Monchhichi in Thailand” ลงบนเคสมือถือด้วยรายละเอียดที่ใส่ใจ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ตัวอักษรไทยเขียนคำว่า “ม่อนชิชิ” ป้ายถนนแบบไทย ไปจนถึงภาพกราฟิกที่บอกเล่าไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวในกรุงเทพฯของม่อนชิชิ   พร้อมเทคนิคการ ถ่ายภาพสินค้าจัดองค์ประกอบ ในรูปแบบ3 มิติ เพิ่มให้ตัวคาแรกเตอร์ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น คอลเลคชั่นนี้มีให้เลือก 2 แบบ2 ลายดีไซน์พิเศษ โดยเน้นโทน สีแดง เป็นสีหลัก ออกแบบมาให้รองรับ iPhone รุ่น 11 – 17 และ Samsung Galaxy S23 Ultra – S25 Ultra นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์เสริมให้เลือกครบครัน ไม่ว่าจะเป็น MagSafe Griptok, MagSafe Wallet, Phone Charm, Mouse Pad รวมถึงเคสสำหรับ iPad   อีกด้วย         

คอลเลคชั่น Sheep x Monchhichi วางจำหน่ายแล้ววันนี้ ที่หน้าร้าน Sheep และช่องทางออนไลน์อย่างเป็นทางการของแบรนด์  ให้แฟน ๆ ได้สะสมและพกพาความน่ารักในทุก ๆ วัน  ที่  Sheep Flagship Store ที่เซ็นทรัลเวิลด์ และร้านAppleSheep 9 สาขาด้วยกัน  , เซ็นทรัลลาดพร้าว , แฟชั่นไอส์แลนด์ , เซ็นทรัลรามอินทรา, เซ็นทรัลเวสต์วิลล์ ,เมกา บางนา , ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต 2 แห่ง ,  เซ็นทรัลขอนแก่น ,เซ็นทรัลหาดใหญ่



ติดต่อช่องทางออนไลน์ได้ที่ www.applesheepth.com, Line: @applesheep, Facebook: AppleSheep
เคส ipadpro มีที่เก็บปากกา, Instagram: applesheepth, Tiktok: applesheepth

แกร็บ พาชมผลงานสุดคิ้วท์จาก 5 ศิลปินดัง

ในโปรเจกต์พิเศษ “เช็กอินกินเที่ยว กับ Grab Now Go Around”

แกร็บ ชวนตัวตึงสายอาร์ต ออกเดินทางไปเช็กอินกินเที่ยว กับโปรเจกต์พิเศษล่าสุด “Grab Now Go Around” ที่ได้แท็กทีม 5 ศิลปินสุดฮอต ได้แก่ Chubbynida, YEEDIN, Sahred Toy, ease around และ Painterbell มาร่วมรังสรรค์งานศิลปะเพื่อถ่ายทอดเอกลักษณ์ของ 5 เมืองท่องเที่ยว ผ่านคาแรกเตอร์สุดคิ้วท์ พร้อมให้ทุกคนได้มาร่วมสนุกและทำคอนเทนต์กันแบบจัดเต็ม ณ The Corner House Bangkok ระหว่างวันที่ 29 - 31 สิงหาคมนี้ และไปตามรอยต่อ ที่จุดเช็กอินยอดฮิตใน 5 เมืองท่องเที่ยว ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น พัทยา ภูเก็ต และกรุงเทพฯ จนถึงสิ้นปี 2568




ปัจจุบัน การเที่ยวชมงานศิลป์ และทำกิจกรรมที่มอบประสบการณ์ใหม่ๆ เป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Millennials ให้ความนิยมกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การไปชมงานนิทรรศการ หรือการออกไปสำรวจสถานที่ และงานสถาปัตยกรรมที่แปลกใหม่ ซึ่ง แกร็บ ได้จับอินไซต์นี้มาต่อยอดเป็นโปรเจกต์พิเศษ “เช็กอินกินเที่ยว กับ Grab Now Go Around” ที่ได้คว้า 5 ศิลปินขวัญใจวัยรุ่น มาร่วมสร้างสรรค์ผลงานที่ผสมผสานศิลปะ การเดินทาง และวัฒนธรรมท้องถิ่นเข้าด้วยกัน เพื่อใช้บอกเล่าเรื่องราวเมืองไทยอย่างมีสไตล์ พร้อมร่วมเฉลิมฉลองการครบรอบ 12 ปีของแกร็บในประเทศไทยไปพร้อมกัน




โดย ผลงานศิลปะของทั้ง 5 ศิลปิน ที่ได้นำมาจัดแสดงที่ The Corner House Bangkok มีไฮไลต์พิเศษ ดังต่อไปนี้

หนีความวุ่นวาย มาปล่อยใจสบายๆ ที่เชียงใหม่: ผลงานจาก Chubbynida หรือ นิดา-ชนิดา อารีวัฒนสมบัติ ศิลปินนักวาดภาพประกอบลายเส้นน่ารัก ที่นำเสนอ ‘เชียงใหม่’ ในมุมสนุกสนาน ผ่านคาแรกเตอร์เด็กผู้หญิง ที่หยิบจับของดีประจำเมือง ไม่ว่าจะเป็น ข้าวซอย ไส้อั่ว และโคมล้านนา มาบอกเล่าเรื่องราว โดยผลงานนี้จัดแสดงอยู่ที่ ณ One Nimman ร้าน LONDON BAKERY และร้านสุกี้ช้างเผือก จังหวัดเชียงใหม่

หนีความจืดจาง มาม่วนแซ่บจัดจ้านที่ขอนแก่น: ผลงานจาก YEEDIN หรือ ปันปัน-รสิกา สายแสง เจ้าของลายเส้นสีสดและคาแรกเตอร์สุดแฟนซี ที่ตีความเมือง ‘ขอนแก่น’ ให้เป็นเมืองแห่งการผจญภัยของรสชาติ สร้างภาพจำใหม่ในฐานะจุดหมายปลายทางสายคาเฟ่และอาหารท้องถิ่น โดยผลงานนี้จัดแสดงอยู่ที่ ตลาดต้นตาล ร้าน Nap’s Coffee และร้าน Roast8ry Khonkaen จังหวัดขอนแก่น

หนีความเฉา มาเอาเอเนอร์จี้ที่พัทยา: ผลงานจาก Sahred Toy หรือ ต๊อด-อารักษ์ อ่อนวิลัย ที่ใช้คาแรกเตอร์ ‘มือ’ เป็นตัวนั่งรถพานักท่องเที่ยวสำรวจ ‘พัทยา’ เมืองชายทะเลที่เต็มไปด้วยพลัง นำเสนอในมุมมองร่วมสมัย โดยเน้นถึงความเชื่อมโยงระหว่างผู้คน เมนูอาหารทะเล และการเดินทางที่ไร้รอยต่อในเมืองท่องเที่ยวที่ไม่เคยหลับใหล โดยผลงานนี้จัดแสดงอยู่ที่ เซ็นทรัล พัทยา ร้าน Sunset Coffee Roaster และร้าน Lighthouse Bay จังหวัดชลบุรี

หนีเมนูจำเจ มาเจอเมนูหลากสไตล์ที่บรรทัดทอง: ผลงานจากทีม ease around หรือ ป้อ-ชัยวัฒน์ อุทัยกรณ์ และ ตาล-วริษฐา จงสวัสดิ์ ที่เปลี่ยนแนวจากเดิม เพิ่มเติมสีสันมากขึ้นให้กับผลงานเพื่อสื่อถึง ‘บรรทัดทอง’ ในฐานะพื้นที่แห่งความสนุก การรวมตัวของเพื่อนฝูง และวัฒนธรรมการกินที่คึกคัก ผ่านคาแรกเตอร์และองค์ประกอบภาพที่สะท้อนพลังของพื้นที่การพบปะ สื่อถึงเสน่ห์ของอาหารในเมืองหลวง  โดยผลงานนี้จัดแสดงอยู่ที่ถนนบรรทัดทอง กรุงเทพฯ

หนี Old me มาเปิดโลกที่ Old Town ภูเก็ต: ผลงานจาก Painterbell หรือ เบล-เศรษฐพร ก่อวาณิชกุล ที่แปลงร่างคาแรกเตอร์ประจำตัว ‘John Lulu and Friends’ ให้เป็นคนขับแกร็บผู้ส่งความสุขที่พร้อมเดินทางนำขนมร้านดัง ใน ‘ภูเก็ต’ ไปเสิร์ฟถึงมือนักท่องเที่ยวทุกคน โดยผลงานนี้จัดแสดงอยู่ที่ร้าน Phuketique ร้าน Campus Coffee Roasters และร้าน Torry’s Ice Cream จังหวัดภูเก็ต

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมให้ทุกคนได้มาร่วมสนุก อาทิ โซน “Go Around Thailand” ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้มาร่วมเล่นเกมส์ อาทิ การเพ้นท์ลายเสื้อยักษ์ ระบายสีตึกเมืองเก่าภูเก็ต และปั๊มสแตมป์สร้างโลกให้ไดโนเสาร์ที่ขอนแก่น เพื่อลุ้นรับ “แกร็บชาปอง” (Grabchapon) กับพวงกุญแจลายพิเศษจากศิลปินที่มีเฉพาะในงานนี้เท่านั้น รวมถึงยังมี โซน Interactive Wall ให้ทุกคนมาร่วมแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวสุดประทับใจของตัวเองได้อีกด้วย

พิเศษ! ไม่ว่าจะเดินทางออกไปเที่ยว ไปกิน หรือไปชมงานศิลป์ แกร็บ จัดโปรมาให้แบบจุกๆ เพียงใส่โค้ด ‘GRABNOW’ รับส่วนลด 15%* สำหรับบริการสั่งอาหารและเรียกรถ เมื่อใช้ใน 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี ขอนแก่น เชียงใหม่ และภูเก็ต ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 ธันวาคม 2568

ติดตามรายละเอียดเกี่ยวกับโปรเจกต์พิเศษ “เช็กอินกินเที่ยว กับ Grab Now Go Around”
เพิ่มเติม ได้ที่ www.grab.com/th/blog/grabnowgoaround/

"บักโค่ย"จากองุ่นป่า สู่ไวน์คุณภาพ

ไวน์จากภูมิปัญญาชาวบ้าน ภูมิปัญญาการหมักแบบดั้งเดิม แต่มีการปรับปรุงกระบวนการให้ได้มาตรฐาน ใครจะเชื่อว่า บักโค่ย หรือ "องุ่นป่าสารพัดประโยชน์" จะกลายเป็นผลผลิตในการผลิตไวน์ที่คุณภาพสูง องุ่นป่า หรือส้มโก่ยนั้น เป็นพืชไม้เลื้อย ลำต้นเป็นเถา มีใบและผลเป็นพวงคล้ายกับองุ่นทั่วไปอย่างมาก ตอนดิบจะมีสีเขียวอ่อน เริ่มห่ามจะมีสีแดง และเมื่อสุกงอมจะเป็นสีม่วง สีสันสวยงาม เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติภายในป่าตำบลหินซ้อน อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี และช่วงนี้ ซึ่งเป็นช่วงปลายฤดูฝน บักส้มโก่ย กำลังเริ่มสุกงอม พร้อมนำไปผลิตไวน์




"บักโค่ย" หรือที่เรียกอีกอย่างว่า "ส้มโก่ย" ที่หายากและเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เป็นผลไม้ป่าชนิดหนึ่งที่คล้ายองุ่น มากๆ พวงองุ่นป่าที่สมบูรณ์มากๆ มีน้ำหนัก1-3 กิโล พวงมีเมล็ดแน่น มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว และมักพบได้ในฤดูฝน ผลไม้ชนิดนี้ มีทั้งการรับประทานสด หรือแปรรูปเป็นไวน์ได้และถ้านำมาผลิตจะสามารถผลิตไวน์คุณภาพสูง ผลิตไวน์ ที่มีรสชาติมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
📌 ทำไม “หินซ้อน สระบุรี” ถึงกลายเป็นแหล่งผลิตไวน์ไวน์บักโค่ย เกิดจากความรักและความเอาใจใส่ของชุมชน ต.หินซ้อน ซึ่งถือเป็นว่าเป็นมากกว่าเครื่องดื่ม เป็นมรดกทางใจ ของชุมชนหินซ้อน ด้วยเอกลักษณ์และศิลปะของไวน์ Buck Koei Red จากวิสาหกิจ ชุมชนฮัก-ป่าสัก หินซ้อน ที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนา ตั้งใจจะรักษาไว้ให้เป็นมรดกอันล้ำค่าของตำบลหินซ้อน โดยผ่านความพยายาม ความตี้งใจและการทำงานเพื่อเชื่อมโยงชุมชนท้องถิ่นไปสู่ตลาดสากล

📌 จากองุ่นป่า สู่ไวน์คุณภาพ
โดยองุ่นแต่ละลูกจะมีความสมบูรณ์ สะท้อนถึงแก่นแท้ของแหล่งกำเนิดที่อุดมสมบูรณ์ได้อย่างดี องุ่นหายากเหล่านี้ให้ผลเพียงปีละ 1 ครั้ง จึงทำให้สามารถผลิตเป็นไวน์ได้เพียงประมาณไม่มากต่อปีอุตสาหกรรมไวน์ไทย และเป็นโอกาสของคนรุ่นใหม่ที่อยากเข้ามาสร้างสรรค์ไวน์ในประเทศตัวเอง เพราะต่อให้เราไม่ได้อยู่ใน “พื้นที่ทองคำของไวน์” แต่ด้วยความตั้งใจ วิทยาศาสตร์ และความกล้าสามารถสร้างไวน์คุณภาพระดับโลกได้เหมือนกัน
ใครจะคิดว่า “จังหวัดสระบุรี” ซึ่งอยู่ห่างจากแหล่งปลูกไวน์ระดับโลก สามารถผลิตไวน์คุณภาพสูง กลายเป็นแหล่งผลิตไวน์ ไวน์บักโค่ย“รสชาติมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว” จากธรรมชาติ ดิน น้ำ และอากาศของอำเภอหินซ้อนโดยเฉพาะ!

ข่าวประชาสัมพันธ์

Full Circle Biotechnology เผยวิสัยทัศน์ธุรกิจอาหารสัตว์ยั่งยืน

หนึ่งเดียวจากไทยเข้ารอบ 18 Finalist “2025 THRIVE Global Impact Challenge” กรุงเทพฯ, 30 สิงหาคม 2568 — บริษัท ฟูลเซอร์เคิล ไบโอเทคโนโลยี จำกั...

โวยวายดอทคอม