วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2567

GIT เปิดเวที! เชิญชวนนักออกแบบไทยและต่างชาติส่งผลงานประกวดออกแบบเครื่องประดับระดับโลก ปีที่ 18

ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 7,000 เหรียญสหรัฐ พร้อมโล่เกียรติยศ


24 เมษายน 2567: GIT จัดการแถลงข่าวโครงการประกวดการออกแบบเครื่องประดับครั้งที่ 18 “Enchanted Hues – Unlocking the Secrets of Primary Colors Theory” เฟ้นหาศักยภาพของนักออกแบบที่มีความคิดสร้างสรรค์โดดเด่นเหนือจินตนาการ พร้อมยกทีมผู้เชี่ยวชาญร่วมตีโจทย์ยกระดับต่อยอดการออกแบบสู่สากล ณ โรงแรม เลอบัว แอท สเตททาวเวอร์ กรุงเทพฯ 

นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ หรือ GIT กล่าวว่า  อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย ถือได้ว่าเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ สินค้าส่งออกในอันดับที่ 2 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 6.59 ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย โดยมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทย เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ขยายตัวตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 57.26 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีมูลค่า 1,927.88 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 3,031.76 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  ทั้งนี้ หากนำมูลค่าดังกล่าวข้างต้นหักออกด้วยการส่งออกทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูป พบว่า การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงมีมูลค่า 1,822.18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 14.78 ซึ่งเห็นได้ว่าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะเผชิญอยู่กับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจต่างๆ ที่เกิดขึ้น

สถาบันมีภารกิจในการพัฒนาบุคลากรในด้านต่างๆ เข้าสู่อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนารูปแบบเครื่องประดับขึ้นในวงการอัญมณีและเครื่องประดับอย่างต่อเนื่อง และสนับสนุนให้นักออกแบบรุ่นใหม่และผู้สนใจในการออกแบบเครื่องประดับได้มีโอกาสนำเสนอผลงานตลอดจนให้มีการนำผลงานออกแบบไปผลิตชิ้นงานจริง และสร้างความตื่นตัวในเรื่องการออกแบบ

สำหรับโครงการประกวดการออกแบบเครื่องประดับครั้งที่ 18 ได้กำหนดหัวข้อการประกวดภายใต้หัวข้อ “Enchanted Hues – Unlocking the Secrets of Primary Colors Theory” การออกแบบที่ต้องผสมผสานอัญมณีธรรมชาติ 3 สี ได้แก่ ทับทิม ไพลิน และบุษราคัม ผสมผสานองค์ประกอบของศิลปะ หลอมรวม ความคิดสร้างสรรค์และแรงบันดาลใจ สู่การออกแบบเป็นคอลเลกชั่น High Jewelry ที่เต็มไปด้วยจินตนาการและนวัตกรรมเป็นเครื่องประดับที่มีความสวยงามและน่าหลงใหลอย่างแท้จริง


ซึ่งการประกวดครั้งนี้ เปิดโอกาสให้กลุ่มนักออกแบบมืออาชีพและรุ่นใหม่ รวมถึงประชาชนทั่วไปที่สนใจทั่วโลกได้มีเวทีในการแสดงศักยภาพแห่งความคิดสร้างสรรค์ นำไปสู่ทิศทางด้านการออกแบบฉายภาพแนวโน้มที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต (Jewelry Design Trend) โดยนักออกแบบจะต้องส่งแบบวาดไม่จำกัดเทคนิค หรือภาพเขียนจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่มีแนวคิดการออกแบบสอดคล้องกับหัวข้อการประกวด จำนวนไม่น้อยกว่า 3 ชิ้นใน 1 ชุด (คอลเลคชั่น) โดยในชุดนั้นจะต้องมีสร้อยคอเป็นเครื่องประดับหลักและเครื่องประดับอื่นๆ เช่น ต่างหู แหวน กำไล เป็นต้น

ชิงรางวัลมูลค่ารวมกว่า 7,000 เหรียญสหรัฐ โดยผู้ชนะเลิศจะได้รับเงินรางวัลมูลค่า 3,000 เหรียญสหรัฐ รองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัลมูลค่า 2,000 เหรียญสหรัฐ รองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 1,000 เหรียญสหรัฐ รางวัลชมเชย เงินรางวัล 500 เหรียญสหรัฐ และรางวัล GIT Popular Design เงินรางวัล 500 พร้อมโล่เกียรติยศ โดยสถาบันจะประกาศผลการตัดสินรอบแรกจากแบบวาดในวันที่ 11 มิถุนายน นี้ โดยกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการออกแบบ และผู้ที่คร่ำหวอดในวงการเครื่องประดับจากทั่วโลก 


และพิเศษสำหรับปีนี้ GIT ได้วางแผนในการต่อยอดเชิงพาณิชย์ให้กับผู้ที่ส่งผลงานเข้าร่วมการประกวด โดยนักออกแบบสามารถเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ Community Platform : GIT Jewelry Design Gallery ซึ่งเป็นช่องทางในการเชื่อมโยงระหว่างนักออกแบบและผู้ประกอบการในการพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์เครื่องประดับให้ก่อให้เกิดการสร้างงานสร้างรายได้ให้กับนักออกแบบ และ 4 ผลงานที่ได้รับคัดเลือกเป็นคะแนนสูงสุด จะได้ผลิตเป็นเครื่องประดับจริงเพื่อเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศต่อไป

สำหรับผู้สนใจส่งผลงานเข้าประกวด สามารถส่งผลงานได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 พฤษภาคม 2567 ผ่านทางเว็บไซต์ www.gitwjda.com หรือส่งผลงานพร้อมใบสมัครทางไปรษณีย์ หรือส่งผลงานด้วยตัวเองที่ฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เลขที่ 140 อาคารไอทีเอฟ – ทาวเวอร์ ชั้น 3 ถนนสีลม แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ ฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการ โทร. +66 2 634 4999 ต่อ 301-306 และ 311-313
หรือ LineOA: @gittrainingcenter และดูรายละเอียดการรับสมัครได้ที่ www.gitwjda.com 

“SACIT Concept 2024 : Geographical Indications of Art and Craft”

 เชิญชวนผู้ผลิต หรือผู้ประกอบการสินค้าหัตถกรรม GI เปิดเวทีงานออกแบบ Craft Design Pitching & Matching 

สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ สศท. ชวนผู้ผลิต หรือ ผู้ประกอบการสินค้าหัตถกรรม GI ได้แก่ ครูศิลป์ของแผ่นดิน ครูช่างศิลปหัตถกรรม ทายาทช่างศิลปหัตถกรรม กลุ่มสมาชิกของ สศท. ช่างฝีมือ ชุมชนหัตถกรรม ผู้ประกอบการทั่วไป ร่วมกับ นักออกแบบ ได้แก่ นักสร้างสรรค์ และนักออกแบบผลิตภัณฑ์ กลุ่มพันธมิตรเครือข่ายองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมไทยพร้อมบรรจุภัณฑ์ ผสานองค์ความรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่นกับนวัตกรรมด้วยความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อทั้งในและต่างประเทศ มี
มาตราฐานสินค้าผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมไทย เกิดคุณค่าและความยั่งยืน 


นางสาวนฤดี ภู่รัตนรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรม รักษาการแทนผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย กล่าวว่า โครงการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์เพื่อต่อยอดเชิงพาณิชย์ กิจกรรม SACIT Concept 2024 : Geographical Indications of Art and Craft ดำเนินการเป็น Craft Design Matching การจับคู่กันระหว่าง ผู้ผลิต หรือผู้ประกอบการสินค้าหัตถกรรม GI กับ นักออกแบบ โดยร่วมกันออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมไทย พร้อมบรรจุภัณฑ์ ที่เกิดจากการสืบสาน ต่อยอดองค์ความรู้งานศิลปหัตถกรรมแบบดั้งเดิมที่ได้รับการต่อยอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น (From Root to Route) ด้วยความคิดสร้างสรรค์ของคุณรุ่นใหม่ให้มีความชัดเจนและพัฒนาให้เกิดความร่วมสมัย นวัตกรรม และเทคโนโลยีที่สอดรับกับภูมิปัญญาท้องถิ่น ในปีนี้ เราได้ออกแบบโครงการภายใต้แนวคิด 

GI Smart Craft Combinations: คราฟต์ ผสมผสาน อย่างชาญฉลาด คือ การสร้างเครือข่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมให้เพิ่มมากขึ้น ระหว่าง กลุ่มผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการด้านศิลปหัตถกรรม และนักออกแบบ เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมไทย ในรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ วัสดุ วัตถุดิบ การทำสี และการพัฒนาศักยภาพให้กับผู้ประกอบการศิลปหัตถกรรมไทย พร้อมยกระดับเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมไทย ให้สามารถต่อยอดเชิงพาณิชย์ ภายใต้การกำกับดูแลของผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เราคาดหวังจะได้เห็นผลงานศิลปหัตถกรรมการออกแบบใหม่ ๆ ที่ฉีกกรอบเดิม และสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ ทุกผลงานที่ผ่านเข้ารอบและพัฒนาจะได้เข้าร่วมแสดงนิทรรศการและทดสอบตลาด รวมถึงจัดทำหนังสือรวบรวมองค์ความรู้ จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์

โครงการนี้ได้รับเกียรติจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแต่ละด้านร่วมพิจารณารอบคัดเลือก และรอบจับคู่ Pitching & Matching คณะกรรมการดำเนินการ พิจารณาข้อมูลเพื่อจับคู่ ผู้ประกอบการสินค้าหัตถกรรม จำนวน 3 ราย ต่อนักออกแบบ จำนวน 1 ราย 

ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดใบสมัครและส่งสมัครเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันนี้ – 1 พฤษภาคม 2567
ผ่านทาง https://www.sacit.or.th/th/detail/2024-04-19-17-44-37?event-project=1 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรม สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) ที่อยู่ 59 หมู่ 4 ตำบลช้างใหญ่ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 13290 ; โทรศัพท์. 0 3536 7054-9; โทรสาร. 0 3536 7050-1; สายด่วน. 1289; อีเมล. info@sacit.or.th

ก.แรงงาน คว้ารางวัล หน่วยงานรัฐสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนดีเด่น ด้าน Decent Work and Economic Growth ในงาน SIAMRATH ONLINE AWARD 2024

     
วันที่ 24 เมษายน 2567 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นผู้แทนเข้ารับรางวัล “หน่วยงานภาครัฐที่สนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนดีเด่น ด้าน Decent Work and Economic Growth” ภายใต้งานประกาศรางวัล SIAMRATH ONLINE AWARD 2024 เนื่องในโอกาสครบรอบ 21 ปีสยามรัฐออนไลน์ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อมอบรางวัลให้กับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และบุคคลในวงการบันเทิง ที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ และเป็นที่ยอมรับของประชาชน ภายใต้การคัดเลือกของคณะกรรมการและผู้ทรงคุณวุฒิ โดยมี คุณกตพล คงอุดม รองประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามรัฐ จำกัด เป็นประธานเปิดงาน ในการนี้ นางสาวกรจิรัฏฐ์ พงจันทร์ศธร ผู้ช่วยปลัดกระทรวงแรงงาน ร่วมเป็นเกียรติในงานดังกล่าวด้วย ณ ห้อง Auditorium อาคาร ทรู ดิจิทัล พาร์ค ถนน สุขุมวิท 101/1 เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร

นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า บริษัท สยามรัฐ จำกัด มอบรางวัล“หน่วยงานภาครัฐที่สนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนดีเด่น ด้าน Decent Work and Economic Growth” ให้กับกระทรวงแรงงาน เนื่องจากเป็นหน่วยงานภาครัฐที่ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืน  (Sustainable Development Goals : SDGs) ซึ่งเป็นเป้าหมายสู่ความยั่งยืนของมนุษยชาติ และจากการทำงานของกระทรวงแรงงานที่มุ่งเน้นการยกระดับกลุ่มแรงงาน ทั้งทางด้านอัตราค่าจ้าง การพัฒนาฝีมือแรงงาน การดูแลสวัสดิการและสวัสดิภาพแรงงาน ตลอดจนการช่วยเหลือแรงงานที่ประสบภัยสงครามและภัยธรรมชาติในต่างประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนเป้าหมายที่ 8 มุ่งส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ผ่านการยกระดับผลิตภาพแรงงานและการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการผลิต โดยการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวต้องให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความเป็นผู้ประกอบการ การสร้างงาน รวมถึงการดำเนินนโยบายเพื่อขจัดปัญหาแรงงานผิดกฎหมาย แรงงานทาส และการค้ามนุษย์ ซึ่งจะนำไปสู่การจ้างงานเต็มที่และมีผลิตภาพ และการมีงานที่มีคุณค่าสำหรับทุกคน นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับประเด็นด้านแรงงานเป็นการเฉพาะ รวมถึงประเด็นเรื่องการลดสัดส่วนของเยาวชนที่ไม่มีงานทำ ไม่มีการศึกษา และไม่มีทักษะ ยุติแรงงานทาสและแรงงานเด็ก ปกป้องสิทธิแรงงานและส่งเสริมสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัยและมั่นคงสำหรับผู้ทำงานทุกกลุ่มอีกด้วย 



“กระทรวงแรงงาน โดยท่านพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ตระหนักและให้ความสำคัญในการพัฒนาแรงงานอย่างยั่งยืน และยังคงมุ่งมั่นดูแลแรงงานทุกคน ทุกกลุ่ม ด้วยการเพิ่มอัตราค่าจ้าง Up skill ดูแลสวัสดิการและสวัสดิภาพแรงงานให้ครอบคลุมทุกมิติ สอดคล้องกับนโยบาย ทักษะดี 

มีงานทำ หลักประกันสังคมเด่น เน้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป” นายไพโรจน์ กล่าว

CP LAND พลิกโฉมโปรดักต์ใหม่ยกแผงทั้งแนวราบ – แนวสูง

เตรียมเปิดตัว 5 โครงการแฟล็กชิพใหม่ทั่วประเทศ

24 เมษายน 2567 – กรุงเทพฯ , บริษัท ซี.พี. แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ หรือ CP LAND บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย เปิดแผนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 2567 เดินเกมส์รุก บุกตลาดใหม่ ปรับดีไซน์โปรดักต์ยกแผงทั้งแนวราบและแนวสูง พร้อมเริ่มรับประกัน 10 ปี** เตรียมเปิดตัว 5 โครงการแฟล็กชิพใหม่ใน 4 จังหวัดทั่วประเทศ 




นายกีรติ ศตะสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซี.พี.แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ CP LAND เปิดเผยว่า  ผลประกอบการธุรกิจของ CP LAND ในปี 2566 สามารถสร้างรายได้เติบโตเพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับปี 2565 ส่วนทิศทางการดำเนินธุรกิจตลอดทั้งปี 2567 ตั้งเป้าหมายที่เติบโตเพิ่มขึ้น 60%  เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จากการลงทุนเพื่อเปิดตัว 5 โครงการแฟล็กชิพใหม่ใน 4 จังหวัดทั่วประเทศในปี 2567 ประกอบด้วย

1.โครงการบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ ภายใต้แบรนด์ลักซ์ริวา เรสซิเดนเซส (LUXRIVA RESIDENCES) ตั้งอยู่ในจ.นครศรีธรรมราช ระดับราคาเริ่มต้นที่ 12 – 20 ล้านบาท โดยได้ทำการเปิดการขายรอบ VVIP – Pre-Sale ไปแล้วเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งได้ Sold Out ในส่วนของโครงการเฟสแรกไปแล้ว และได้เปิดขายเฟสต่อไปทันที คาดว่าจะพร้อมโอนได้ในช่วงปลายไตรมาส 3/2567

2.โครงการบ้านเดี่ยวระดับพรีเมี่ยม ภายใต้แบรนด์ใหม่ ตั้งอยู่ในจ.พิษณุโลก ระดับราคาเริ่มต้นที่ 7 – 15 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มเปิดขายโครงการได้ในช่วงไตรมาส 3/2567

3.โครงการบ้านเดี่ยวระดับพรีเมี่ยม ภายใต้แบรนด์ใหม่ ตั้งอยู่ในจ.นครสวรรค์ ระดับราคาเริ่มต้นที่ 7 – 15 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มเปิดขายโครงการได้ในช่วงไตรมาส 3/2567

4.โครงการคอนโดมิเนียม High Rise ภายใต้แบรนด์ใหม่  ตั้งอยู่ในจ.ขอนแก่น ระดับราคาเริ่มต้นที่ 2.3 – 4 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มเปิดขายโครงการได้ในช่วงปลายไตรมาส 3/2567

5.โครงการคอนโดมิเนียม Low Rise ภายใต้แบรนด์ใหม่ ตั้งอยู่ในจ.ขอนแก่น ระดับราคาเริ่มต้นที่ 1.7 – 3 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มเปิดขายโครงการได้ในช่วงปลายไตรมาส 3/2567

การเปิดตัวโครงการใหม่ทั้ง 5 โครงการใน 4 จังหวัดครั้งนี้ ถือว่าเป็นการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของ CP LAND เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ใหม่ หลังจากที่ CP LAND มีการรีเฟรชแบรนด์ ปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัยขึ้น ปรับดีไซน์โปรดักต์ใหม่ยกแผงทั้งแนวราบและแนวสูง รับประกันถึง 10 ปี** โดย Welcome Home Club by CP LAND ใน 4 เรื่องหลัก ประกอบด้วย 1.โครงสร้างของอาคาร 2.การรั่วซึมของหลังคา 3.การรั่วซึมของระบบท่อน้ำและไฟฟ้า และ 4.การใช้งานของประตู และหน้าต่าง  ในโครงการเปิดใหม่ทั้งหมด  เพื่อให้สอดรับกับแผนธุรกิจที่เริ่มปรับแผนตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 ที่ผ่านมา โดยการเปิดตัวแบรนด์ใหม่อย่าง LUXRIVA RESIDENCES นครศรีธรรมราช ถือเป็นการเปิดแบรนด์ใหม่นำร่องแบรนด์แรก ก่อนที่ CP LAND จะทยอยเปิดตัวแบรนด์ใหม่ๆในส่วนของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ออกมาในช่วงปลายไตรมาส 2 ปี 2567





สำหรับแบรนด์ LUXRIVA RESIDENCES นครศรีธรรมราช ที่สามารถ Sold Out ในเฟสแรกได้อย่างรวดเร็วถือว่าเป็นก้าวแรกที่สำคัญของ CP LAND ยุคใหม่ที่ได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อสูง (High-Net-Worth Individuals) กลุ่มผู้ประกอบการท้องถิ่นที่ประสบความสำเร็จ หรือ Local Achiever และกลุ่มลูกค้าลักซ์ชัวรี่ภูมิภาค ซึ่งถือเป็นการวางกลยุทธ์ทางการตลาดได้อย่างตรงกลุ่มเป้าหมาย  มีการออกแบบดีไซน์บ้านแนวใหม่ที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้า ด้วยจุดแข็งที่สามารถตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ต้องการบ้านหรือที่อยู่อาศัยที่ได้รับการพักผ่อนอย่างแท้จริง ภายใต้มาตรฐานการทำงานและก่อสร้างของบริษัท ที่มีการเริ่มรับประกัน 10 ปี**เป็นโครงการแรก  ตลอดจนการออกแบบโครงการที่ชูดีไซน์การออกแบบโมเดิร์น ผสมผสานเอกลักษณ์ระหว่างศิลปวัฒนธรรมไทย และ วัฒนธรรมท้องถิ่นของภาคใต้ โดยนำศิลปินนักออกแบบระดับประเทศ ร่วมนำเสนอภูมิปัญญาท้องถิ่น ให้เข้ากับความร่วมสมัย พร้อมประยุกต์ดีไซน์ในส่วนต่าง ๆ ให้เข้ากับสภาพอากาศในประเทศเขตร้อนชื้น ทำให้ผู้พักอาศัยมีสภาวะความเป็นอยู่ที่สบายที่สุด รู้สึกถึงความร่มเย็น

“ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์จากการดูแนวโน้มทางเศรษฐกิจในปี 2567 ยังคงเป็นความท้าทายต่อแผนขับเคลื่อนธุรกิจของ CP LAND เนื่องจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจ แต่ในตลาดบ้านเดี่ยว กลุ่มลูกค้า Premium-Luxury Tier มีแนวโน้มจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง สวนทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั่วไป เนื่องจากกลุ่มลูกค้ามีกำลังซื้อได้โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยเงินกู้ เพียงแต่สินค้าต้องมีความตอบโจทย์ในทุกความต้องการขั้นพื้นฐาน ให้ความรู้สึกเป็นที่พักอาศัยอย่างแท้จริง ทาง CP LAND มองเห็นช่องโอกาสนี้จึงได้ตั้งใจพัฒนาสินค้าใหม่ภายใต้แบรนด์ LUXRIVA RESIDENCES  และแบรนด์ใหม่ๆ ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า ทั้งในด้านของภาพลักษณ์ และ ฟังก์ชันการใช้งาน ที่ผ่านการทำการศึกษาด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญ และมอบความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มลูกค้า ด้วยการรับประกัน 10 ปี โดย Welcome Home Club by CP LAND ปี  เพื่อให้ลูกค้าเชื่อมั่นว่าจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจาก CP LAND ทำให้ลูกค้าสามารถไว้วางใจได้ว่า หากจะซื้ออสังหาริมทรัพย์ให้นึกถึง CP LAND ด้วยแนวคิดนี้ จึงเชื่อมั่นว่า แบรนด์ CP LAND จะมีความแข็งแรง เติบโตไปพร้อมความน่าสนใจและเป็นที่ต้องการในกลุ่มลูกค้าใหม่ๆได้อย่างแน่นอน”นายกีรติ กล่าวทิ้งทาย 


 ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.CPLAND.co.th

วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2567

ป้ายยาผลิตภัณฑ์น้องใหม่ จากองค์การเภสัชกรรม


องค์การเภสัชกรรมเปิดตัวสินค้าน้องใหม่ “ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสกัดจากน้ำมันเมล็ดกัญชงคุณภาพ” ด้วยคุณประโยชน์ของน้ำมันเมล็ดกัญชงที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าช่วยในเรื่องการบำรุงผิว บำรุงสุขภาพ และยังช่วยลดการอักเสบ ทำให้น้ำมันเมล็ดกัญชงถูกนำมาทำผลิตภัณฑ์ได้อย่างหลากหลาย ทั้งน้ำมันบำรุงผิวกายกัญชง น้ำบำรุงผิวหน้าจากกัญชง น้ำมันนวดผิวกัญชง ลิปบาล์ม ครีมบำรุงผิวมือ น้ำหอม สบู่กัญชง หรือเซรั่มกัญชง เป็นต้น

SIBANNAC ที่มีความโดดเด่นในเรื่องของสารสกัดจาก “น้ำมันเมล็ดกัญชงคุณภาพ” และยังคิดค้นโดยองค์การเภสัชกรรม ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผิวของคนไทยมากที่สุด ก็ย่อมต้องถูกคิดค้นในประเทศไทย โดยองค์การที่มีความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะจึงจะตอบโจทย์กับปัญหาผิวของคนไทยมากที่สุด


✨ SIBANNAC HEMP SEED FACE OIL น้ำมันบำรุงผิวหน้า เพื่อผลลัพธ์ที่ดีของผิว ✨ มั่นใจได้ เพราะคิดค้นโดย องค์การเภสัชกรรม ราคา 590 บาท

อัดแน่นด้วยคุณประโยชน์ “น้ำมันสารสกัดจากเมล็ดกัญชงคุณภาพ” น้ำมันที่ได้จากการสกัดเย็นจากเมล็ดกัญชง ต่อยอดด้วยนวัตกรรมเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพเพื่อการดูแลผิวหน้าที่มีประสิทธิภาพ ช่วยล็อคความชุ่มชื้นให้ผิวหน้าได้ยาวนาน ช่วยฟื้นฟูผิวหน้าจากการถูกทำลายด้วยแสงแดดดีอย่างไร มาดูกัน 

🍁 Hemp seed oil (น้ำมันสกัดเมล็ดกัญชง) อุดมไปด้วย Omega 3, 6, 9 ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างได้เองตามธรรมชาติ ช่วยเก็บความชุ่มชื้นได้ยาวนาน

🍁 Jojoba oil ช่วยปรับสมดุลไขมันบนผิวหน้า ช่วยลดปัญหาสิว ไม่อุดตันรูขุมขน อุดมไปด้วยวิตามินอี

🍁 Black currant seed oil ช่วยปลอบประโลมผิว ลดการระคายเคือง

🍁 Sunflower oil เสริมความชุ่มชื้น ป้องกันการสูญเสียน้ำของผิว

🍁 Balloon Vine Extract อุดมไปด้วยสาร Phytosterols ลดปัญหาผิวแห้ง

🍁 ช่วยปรับสมดุลผิว ลดการหลั่งของน้ำมันส่วนเกิน ลดการอักเสบและปลอบประโลมผิว

🍁 สามารถใช้ได้ในทุกวัน

🛒 ราคาเพียง 590 บาท

🛒 สามารถสั่งซื้อได้แล้วที่ www.gpoplanet.com หรือกดลิงค์สั่งซื้อที่ https://shorturl.asia/BC6g3

*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับลักษณะผิวของแต่ละบุคคล ควรทดสอบอาการแพ้ที่บริเวณข้อพับแขนก่อนใช้

ส่วนประกอบสำคัญ

- Hemp seed oil (น้ำมันสกัดเมล็ดกัญชง) อุดมไปด้วย Omega 3-6-9 ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างได้เองตามธรรมชาติ ช่วยเก็บความชุ่มชื้นได้ยาวนาน

- Jojoba oil ช่วยปรับสมดุลไขมันบนผิวหน้า ช่วยลดปัญหาสิว ไม่อุดตันรูขุมขน อุดมไปด้วยวิตามินอี

- Black currant seed oil ช่วยปลอบประโลมผิว ลดการระคายเคือง

- Sunflower oil เสริมความชุ่มชื้น ป้องกันการสูญเสียน้ำของผิว

- Balloon Vine Extract อุดมไปด้วยสาร Phytosterols ลดการระคายเคืองผิว

วิธีใช้  หยดผลิตภัณฑ์ลงบนฝ่ามือ ค่อยๆ ถูฝ่ามือเพื่อวอร์มน้ำมัน แล้วกดเบาๆ ให้ทั่วใบหน้า สามารถใช้ได้ในทุกวันหรือทาก่อนนอน หลังทำความสะอาด ขณะผิวหมาด

SIBANNAC HEMP SEED BODY OIL น้ำมันบำรุงผิวกาย ไอเท็มลับฉบับคนรักผิว ✨ มั่นใจได้ เพราะคิดค้นโดย องค์การเภสัชกรรม ราคา 490 บาท

อัดแน่นด้วยคุณประโยชน์ “น้ำมันสารสกัดจากเมล็ดกัญชงคุณภาพ” น้ำมันที่ได้จากการสกัดเย็นจากเมล็ดกัญชง ต่อยอดด้วยนวัตกรรมเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพเพื่อการดูแลผิวหน้าที่มีประสิทธิภาพ ช่วยล็อคความชุ่มชื้นให้ผิวได้ยาวนาน ช่วยฟื้นฟูผิวจากการถูกทำลายด้วยแสงแดด

🍁 Hemp seed oil (น้ำมันสกัดเมล็ดกัญชง) : อุดมไปด้วย Omega 3-6-9 ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างได้เองตามธรรมชาติ ช่วยเก็บความชุ่มชื้นได้ยาวนาน

🍁 Grape seed oil : เป็นแอนติออกซิแดนท์ให้ผิวแลดูอ่อนเยาว์

🍁 Sweet almond oil : อุดมไปด้วยกรดไขมันและวิตามิน ช่วยปกป้องและฟื้นบำรุงผิวที่แห้งแตก

🍁 Rice bran oil : อุดมไปด้วย Gamma Oryzanal และวิตามินอี ช่วยให้ผิวยืดหยุ่นลดการเกิดริ้วรอย

🍁 Olive oil : ปกป้องและสร้างชั้นป้องกันผิวแห้งแตก

🛒 ราคา 490 บาท

🛒 สามารถสั่งซื้อได้แล้วที่ www.gpoplanet.com    หรือกดลิงค์สั่งซื้อที่ https://shorturl.asia/BC6g3

*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับลักษณะผิวของแต่ละบุคคล ควรทดสอบอาการแพ้ที่บริเวณข้อพับแขนก่อนใช้

ส่วนประกอบสำคัญ

- Hemp Seed Oil (น้ำมันสกัดเมล็ดกัญชง) อุดมไปด้วย Omega 3-6-9 ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างได้เองตามธรรมชาติ ช่วยให้ความชุ่มชื้น ให้ผิวสามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ยาวนาน - Grape seed oil เป็นสาร Antioxidant ช่วยคงความอ่อนเยาว์ ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น ให้ผิวแลดูเรียบเนียน

- Rice Bran oil เพิ่มความหยืดหยุ่นผิว ช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอย อุดมไปด้วยวิตามิน อี

- Olive fruit oil ให้ผิวชุ่มชื้นและปกป้องเคลือบคลุมผิวแห้งกร้าน

- Sweet almond oil ให้ความชุ่มชื้น ป้องกัน ฟื้นบำรุงผิวที่แห้งกร้าน อุดมไปด้วยกรดไขมันและวิตามิน

วิธีใช้  หยดผลิตภัณฑ์ลงบนฝ่ามือ ลูบไล้ให้ทั่วเรือนร่าง

สามารถใช้ได้ในทุกวันหรือทาก่อนนอน หลังทำความสะอาด ขณะผิวหมาด

✨ SIBANNAC HEMP SEED OIL - BED TIME LIP CARE ลิปบำรุงริมฝีปาก มั่นใจได้ เพราะคิดค้นโดย องค์การเภสัชกรรม  ราคา 199 บาท

อัดแน่นด้วยคุณประโยชน์ “น้ำมันสารสกัดจากเมล็ดกัญชงคุณภาพ” น้ำมันที่ได้จากการสกัดเย็นจากเมล็ดกัญชง ต่อยอดด้วยนวัตกรรมเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพเพื่อการดูแลริมฝีปากในยามพักผ่อน เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริมฝีปาก  ช่วยให้ริมฝีปากชุ่มชื้นยาวนาม แลดูริมฝีปากอิ่มฟู ฉ่ำวาว

🍁 HEMP SEED OIL (น้ำมันสกัดเมล็ดกัญชง) อุดมไปด้วย Omega 3, 6, 9 ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างได้เองตามธรรมชาติ ช่วยเก็บความชุ่มชื้นได้ยาวนาน

🍁 TOCOPHERYL ACETATE เป็นอนุพันธ์ของ Vitamin E มีคุณสมบัติเป็น Moisturizer ที่ให้ความชุ่มชื้นกับริมฝีปากและยังเป็น Antioxidant ทำให้ ผิวริมฝีปากแลดูเรียบเนียนมีสุขภาพดีอย่างเป็นธรรมชาติ

🍁 เชียบัตเตอร์ให้ความชุ่มชื้นสูง ช่วยเคลือบผิวและลดรอยเหี่ยวย่นของริมฝีปากได้เป็นอย่างดี

🍁 บรรเทาอาการเจ็บ แสบ จากปากที่แห้ง แตก

🍁 สารสกัดมาจากธรรมชาติ เนื้อสัมผัสเบาสบาย ไม่เหนียวเหนอะหนะ ไม่หนักปาก

🛒 ราคา 199 บาท

🛒 สามารถสั่งซื้อได้แล้วที่ www.gpoplanet.com  หรือกดลิงค์สั่งซื้อที่ https://shorturl.asia/BC6g3

*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับลักษณะผิวของแต่ละบุคคล ควรทดสอบอาการแพ้ที่บริเวณข้อพับแขนก่อนใช้

ส่วนประกอบสำคัญ

- Hemp seed oil (น้ำมันสกัดเมล็ดกัญชง) อุดมไปด้วย Omega 3-6-9 ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างได้เองตามธรรมชาติ  เก็บความชุ่มชื้นได้ยาวนาน

- Candelilla Wax รักษาความชุ่มชื้นและไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้

- Shea Butter เคลือบผิว ช่วยบำรุงผิวให้เนียนนุ่ม

- Vitamin E Acetate (อนุพันธ์ของวิตามิน อี) มีคุณสมบัติเป็น Moisturizer ให้ความชุ่มชื้นและเป็น Antioxidant

วิธีใช้ ใช้ทาบนริมฝีปาก สามารถใช้ทาก่อนนอนได้ทุกวัน

✨ SIBANNAC HEMP SEED HAND CREAM แฮนด์ครีมตัวดัง ✨ จาก องค์การเภสัชกรรม ราคา 119 บาท

อัดแน่นด้วยคุณประโยชน์ “น้ำมันสารสกัดจากเมล็ดกัญชงคุณภาพ” น้ำมันที่ได้จากการสกัดเย็นจากเมล็ดกัญชง ต่อยอดด้วยนวัตกรรมเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพเพื่อการดูแลผิวที่มีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวบริเวณมือ

🍁 น้ำมันเมล็ดกัญชงมีโปรตีนสูงและกรดไขมันโอเมก้า 3, 6, 9 ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างได้เองตามธรรมชาติ ช่วยเก็บความชุ่มชื้นได้ยาวนาน สร้างความแข็งแรงให้กับผิวมือและเล็บ

🍁 อุดมไปด้วย Vitamin E ที่จะช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม น่าสัมผัส                               

🍁 ช่วยปลอบประโลมผิวด้วยคุณประโยชน์จากใบบัวบก

🍁 เชียบัตเตอร์ช่วยเคลือบผิวและลดรอยเหี่ยวย่นได้เป็นอย่างดี

🍁 ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ผิวแลดูอ่อนเยาว์ ชะลอผิวแก่ก่อนวัย

🍁 ช่วยฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลายจากแสงแดด ลดการผลิตเม็ดสีผิวที่ผิดปกติใต้ผิว

🍁 เนื้อครีมมีความนุ่มลื่น ไม่เหนียวเหนอะหนะ แถมมีกลิ่นหอมอ่อนๆ

🍁 ช่วยฟื้นบำรุงผิวมือที่แห้ง ขาดความชุ่มชื้นจากการล้างมือ หรือสัมผัสแอลกอฮอล์

🛒 ราคา 119 บาท

🛒 สามารถสั่งซื้อได้แล้วที่ www.gpoplanet.com  หรือกดลิงค์สั่งซื้อที่ https://shorturl.asia/BC6g3

*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับลักษณะผิวของแต่ละบุคคล ควรทดสอบอาการแพ้ที่บริเวณข้อพับแขนก่อนใช้

ส่วนประกอบสำคัญ

- Hemp Seed Oil (น้ำมันสกัดเมล็ดกัญชง) อุดมไปด้วย Omega 3-6-9 ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างได้เองตามธรรมชาติ ช่วยให้ความชุ่มให้ผิวสามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ยาวนาน

- Vitamin E liposome นวัตกรรมนาโนเทคโนโลยี ผสานวิตามิน อี ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการซึมผ่านผิวหนัง ช่วยคงความชุ่มชื้น

- Centella Asiatica Extract สารสกัดใบบัวบกช่วยให้ผิวดูเรียบเนียน ปลอบประโลมผิว

- Shea Butter เคลือบผิว ช่วยบำรุงผิวให้เนียนนุ่ม

วิธีใช้ ลูบไล้ครีมให้ทั่วฝ่ามือและหลังมือ สามารถใช้ได้ตลอดเวลาที่ต้องการ

มูลนิธิคลังสมอง วปอ.เพื่อสังคม จัดพิธีทำบุญเนื่องในโอกาสก่อตั้งมูลนิธิฯครบ 22ปี

พลเอก​ บุญสร้าง​ เนียมประดิษฐ์​ ประธานคลังสมองอาวุโส วปอ.เพื่อสังคม ปวิธายุวัฒน์​ เป็นประธานในพิธีทำบุญ​เนื่องในโอกาสก่อตั้งมูลนิธิคลังสมอง​ วปอ.​ เพื่อสังคม​ ครบ 22 ปี โดยในวันนี้ได้รับเกียรติจาก​ พลเอก​ นรินทร์​ แทบ​ประสิทธิ์​ ประธาน​มูลนิธิ​คลังสมอง​ ​วปอ.​ เพื่อ​สังคม​​ พลโท​ มนัส​ แถบ​ทอง​ ผู้​อำนวยการ​หลักสูตร​ฯ​ กรรมการ​มูลนิธิ​ฯ​ นายทหารชั้นผู้ใหญ่​ อาจารย์​ และศิษย์เก่าหลักสูตรผู้นำพอเพียงเพื่อความมั่นคง​ สักการะ​สิ่งศักดิ์สิทธิ์​และศาลท่านท้าวยะสังกะอสูร​ ณ​ วิทยาลัย​ป้องกัน​ราชอาณาจักร​ สถาบัน​วิชาการ​ป้องกัน​ประเทศ​      





ในโอกานี้ยังได้จัดพิธีรดน้ำขอพรอดีตประธานมูลนิธิคลังสมอง วปอ. และผู้อาวุโส เนื่องในวันสงกรานต์​ ณ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร อาคารอเนกประสงค์ วปอ. ห้อง 321 โดยมีศิษย์เก่า หลักสูตรผู้นำพอเพียงเพื่อความมั่นคงเข้าร่วมพิธีโดยพร้อมเพรียง





#มูลนิธิคลังสมองวปอเพื่อสังคม​ #นพม

วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2567

ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนนำนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ล่องห่วง ชมตะวัน ฟังเพลง ณ แม่ฮ่องสอน (Wonder Festiva at Mae Hong Son)


ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนนำนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ล่องห่วง ชมตะวัน ฟังเพลง ณ แม่ฮ่องสอน (Wonder Festiva at Mae Hong Son) สัมผัสมนต์เสน่ห์ของลำน้ำปาย 

วันที่ 19 เม.ย. 67 เวลา 13.40 น. ที่ ริมน้ำปาย อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นประธานในโครงการล่องห่วง ชมตะวัน ฟังเพลง ณ แม่ฮ่องสอน (Wonder Festiva at Mae Hong Son) โดยมี นายอุดมศักดิ์ ขาวหนูนา รองผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน หัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการระดับอำเภอ อินฟลูเอนเซอร์ ยูทูปเปอร์ ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน และนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติจำนวนมากร่วมกิจกรรม


โดยการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา  สำหรับกิจกรรมการล่องห่วงยางแม่น้ำปาย เป็นการเชิญชวนประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยว ได้มาสัมผัสมนต์เสน่ห์ของลำน้ำปาย อันเป็นลำน้ำหลักที่ชาวอำเภอปายใช้ในการดำรงชีวิตมาอย่างช้านาน ดังคำขวัญของอำเภอปายว่า "ลำปายสายธาร นมัสการหลวงพ่ออุ่นเมือง ลือเลื่องกระเทียมพันธุ์ดี ป่าเขียวขจีรอบทิศวิถีชีวิตสงบร่มเย็น" โดยกิจกรรมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อสนับสนุนหรือจัดให้มีการจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวในระดับพื้นที่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการและประชาชน และเป็นกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดแม่ฮ่องสอน





เพื่อให้ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวพัฒนารูปแบบกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวนำอัตลักษณ์และทรัพยากรของพื้นที่มาเป็นต้นทุนในการนำเสนอกิจกรรมด้านการท่องเที่ยว เพื่อบูรณาการการทำงานด้านการท่องเที่ยวในระดับพื้นที่ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบผจญภัย

วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2567

พบประสบการณ์ใหม่ๆ ในงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มระดับโลก

“THAIFEX - Anuga Asia 2024” ที่กำลังจะเริ่มขึ้นเร็วๆ นี้


งาน THAIFEX - Anuga Asia 2024 เป็นงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่หลากหลายและน่าสนใจมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา จากการที่มีจำนวนผู้แสดงสินค้าถึง 45 ประเทศในหลายภูมิภาคทั่วโลก ซึ่งขณะนี้มีผู้จองบูธเต็มพื้นที่ โดยงานนี้จะทำให้ผู้เข้าร่วมงานสามารถสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่ง เกิดการร่วมมือกันทางการค้า และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจต่างๆ มากมาย

กรุงเทพฯ ประเทศไทย - THAIFEX - Anuga Asia 2024 งานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กลับมาอีกครั้งพร้อมกับจำนวนผู้แสดงสินค้าระดับนานาชาติมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 พฤษภาคม ถึง 1 มิถุนายน 2567 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี กรุงเทพฯ ประเทศไทย ด้วยพื้นที่จัดแสดงสินค้าที่หลากหลายถึง 11 ฮอลล์ และพื้นที่จัดแสดงสินค้าพิเศษอีก 6 โซน ที่นำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ช่วยตอบสนองความต้องการที่มากขึ้นของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน พร้อมเน้นย้ำถึง 11      เทรนด์ธุรกิจซึ่งจะจัดแสดงให้เห็นทั่วทั้งพื้นที่การจัดงาน ผู้ซื้อและผู้ค้าจากทั่วทุกมุมโลกจะได้รับโอกาสซึ่งไม่สามารถหาได้จากที่ไหนในการเรียนรู้กลยุทธ์สำหรับเพิ่มมูลค่าให้ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่


Mathias Kuepper กรรมการผู้จัดการและรองประธานของ Koelnmesse Asia Pacific กล่าวถึงการจัดงานในครั้งนี้ว่า "งาน THAIFEX - Anuga Asia ในปีนี้จะแตกต่างจากครั้งอื่นๆ แม้ว่าการจัดงานเมื่อปี 2023 จะประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่งานในปี 2024 นี้ บูธจัดแสดงสินค้าได้รับการจับจองเต็มพื้นที่เร็วกว่าทุกปีที่ผ่านมา และยังมีประเทศใหม่ๆ มาเข้าร่วมงานด้วย ผู้เข้าร่วมงานมั่นใจได้ว่างาน THAIFEX - Anuga Asia ปีนี้จะเต็มไปด้วยสินค้าและบริการที่หลากหลายและมีคุณภาพอย่างยิ่ง ในฐานะงานแสดงสินค้าที่มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เป้าหมายหนึ่งเดียวของเราคือการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับนิยามของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก"

การรวบรวมรสชาติที่หลากหลายทั่วโลกไว้ในงานเดียว งานในปีนี้จะมีผู้แสดงสินค้าจาก 45 ประเทศ จากภูมิภาคต่างๆ โดยมีประเทศใหม่ๆ มาเข้าร่วมงาน ได้แก่ แคนาดา สาธารณรัฐเช็ก อียิปต์ มาเก๊า โมนาโก มาซิโดเนียเหนือ โรมาเนีย อุรุกวัย และเยเมน ซึ่งประเทศเหล่านี้ได้ตอกย้ำว่างานนี้จะเป็นงานแสดงสินค้าที่ทุกคนจะได้สัมผัสประสบการณ์และรสชาติระดับโลกอย่างแท้จริง

ค้นพบความอร่อยจากมาเก๊า: มาเก๊าเข้าร่วมงาน THAIFEX - Anuga Asia 2024 เป็นครั้งแรก โดยเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสกับวัฒนธรรมของอาหารมาเก๊าและรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ Vincent U ประธานสถาบันส่งเสริมการค้าและการลงทุนของมาเก๊า (IPIM) กล่าวว่า "การเข้าร่วมงาน THAIFEX - Anuga Asia ครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของมาเก๊าที่จะเข้าสู่ธุรกิจอาหารระดับโลก ปีนี้นับเป็นครั้งแรกที่สถาบันฯ เข้าร่วมออกบูธและช่วยประสานความร่วมมือต่างๆ ให้ผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs ของมาเก๊า การนำผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs ของมาเก๊ามาร่วมงาน THAIFEX - Anuga Asia ถือเป็นโอกาสที่น่าตื่นเต้นสำหรับเราในการนำเสนออาหารที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์และช่วยสร้างเครือข่ายการค้าส่งและการกระจายสินค้าที่แข็งแกร่งและมั่นคงต่อไปในเวทีระดับโลก เราหวังว่าจะได้พบกับความร่วมมือใหม่ๆ ทางการค้าและสร้างโอกาสทางธุรกิจที่มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จร่วมกัน”



นวัตกรรมจากแคนาดาที่น่าจับตา 

ประเทศแคนาดาจะนำบริษัทที่เต็มไปด้วยนวัตกรรมอันหลากหลายเข้าร่วมงานในปีนี้หลายบริษัท เช่น บริษัท Cross Frontier Merchandise จะนำเสนอสินค้าแก่ผู้ค้าปลีกที่กำลังมองหาขนมทานเล่นออร์แกนิกและเครื่องปรุงรสระดับพรีเมียมที่คำนึงถึงเรื่องสุขภาพ บริษัท Padmashri Naturals จะนำเสนอผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสมุนไพรที่ส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวม และบริษัท Royal Classical Agriculture ซึ่งให้ความสำคัญกับวิถีเกษตรยั่งยืน นำเสนอผักและผลไม้ออร์แกนิก

สำรวจความหลากหลายอาหารอเมริกัน: 

USDA หรือกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกาภูมิใจนำเสนอผู้จัดแสดงสินค้าจากองค์กรต่างๆ เช่น กรมวิชาการเกษตรวิสคอนซิน สมาคมถั่วเมล็ดแห้งแห่งสหรัฐอเมริกา  และคณะกรรมการที่ปรึกษาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นมแคลิฟอร์เนีย ซึ่งแต่ละองค์กรตอกย้ำให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมที่แตกต่างกันไปต่อพื้นที่การเกษตรอันอุดมสมบูรณ์ของอเมริกา ทางด้าน Bamas Gourmet Sauces และสถาบันอลาสก้าซีฟู๊ดมาร์เก็ตติ้ง จะนำซอสจากวัตถุดิบท้องถิ่นและอาหารทะเลอะลาสก้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมานำเสนอ นอกจากนี้ ด้วยความร่วมมือที่มีมาอย่างยาวนาน กระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกายังได้ประกาศครั้งสำคัญว่าจะให้การสนับสนุนงาน THAIFEX – Anuga Asia อย่างเป็นทางการนับตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป

"งาน THAIFEX – Anuga Asia ถือว่ามีส่วนสำคัญอย่างมากในการส่งเสริมพันธมิตรทางการค้าและยกระดับธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มอเมริกันให้มีชื่อเสียงระดับโลก เรารู้สึกตื่นเต้นมากที่จะประกาศสนับสนุนงาน THAIFEX - Anuga Asia อย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป เนื่องจากเป็นงานแสดงสินค้าที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการจัดแสดงสินค้าด้านการเกษตรและอาหารที่ยอดเยี่ยมของสหรัฐอเมริกาให้เป็นที่รู้จักในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" Kelly Stange ที่ปรึกษาด้านการเกษตรประจำภูมิภาคของ USDA กล่าวเน้นย้ำ

เป็นมากกว่างานแสดงสินค้า

งาน THAIFEX - Anuga Asia 2024 จะเป็นมากกว่างานแสดงสินค้าที่เต็มไปด้วยสีสัน เพราะงานนี้จะมอบโอกาสพิเศษให้แก่ผู้เข้าร่วมงานที่จะได้ค้นพบโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ สร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ และสร้างความได้เปรียบให้อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก

สำหรับการประชุมและการสัมมนาที่น่าสนใจในงานนี้ จะมีทั้ง Future Food Experience+ การประกวดโปรตีนทดแทนที่เน้นความอร่อยและรสชาติทางเลือก( Alternative Protein Flavour and Taste Contest ) และการแข่งขันสุดยอดเชฟไทยแห่งปี Thailand Ultimate Chef Challenge  ซึ่งจัดขึ้นเพื่อกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างบุคลากรในอุตสาหกรรมอาหาร ผู้เข้าร่วมงานจะได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์เกี่ยวกับเทรนด์ใหม่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น ความต้องการของผู้บริโภค และความเคลื่อนไหวของตลาดที่จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในอนาคต"

นอกจากนี้ งาน THAIFEX - Anuga Asia 2024 มีความภูมิใจและยินดีที่ได้รับความร่วมมือจากองค์กรการกุศลชั้นนำ ได้แก่ UNICEF, SOS, ZY Movement, UNHCR และมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นต่อพันธกิจด้านความรับผิดชอบต่อสังคมของงาน THAIFEX – Anuga Asia

ข่าวประชาสัมพันธ์

GIT เปิดเวที! เชิญชวนนักออกแบบไทยและต่างชาติส่งผลงานประกวดออกแบบเครื่องประดับระดับโลก ปีที่ 18

ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 7,000 เหรียญสหรัฐ พร้อมโล่เกียรติยศ 24 เมษายน 2567: GIT จัดการแถลงข่าวโครงการประกวดการออกแบบเครื่องประดับครั้งที่ 18 “E...

โวยวายดอทคอม